ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่รื่น จิตตทโม วัดป่านิโครธาราม อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่รื่น จิตตทโม ๏ 
     วันนี้วันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๑ ปี การละสังขาร หลวงปู่รื่น จิตฺตทโม วัดป่านิโครธาราม อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่มหาปิ่น ชลิโต เป็นต้น ในพรรษาสุดท้าย ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดป่าญาณสิริ ตามที่หลวงปู่ไม อินทสิริ นิมนต์ วัดนี้หลวงปู่ไม เห็นสมควรให้ใช้ฉายาหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เป็นชื่อวัด เพื่อเป็นการบูชาคุณอันประเสริฐขององค์ท่านผู้เป็นพระอาจารย์ขององค์หลวงปู่ทั้งสอง และหลวงปู่รื่น ก็ได้ไปสงเคราะห์และแสดงพระธรรมเทศนาพร้อมกับจารึกไว้เป็นครั้งสุดท้าย

#ชาติกำเนิด

หลวงปู่รื่น จิตฺตทโม กำเนิดในสกุล เวชบรรพต เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๔๙๓ ตรงกับวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีขาล ณ บ้านหนองบัวบาน ต.หมากหญ้า อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ท่านเล่าว่าชีวิตมันผจญภัยมา ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ก็ตาย ๒ ครั้ง ครั้งแรกก็เดือน ๓ ไปขึ้นกินมะขามตกต้นมะขามลงมาตายคืน พอมาเดือน ๖ มะพร้าวทั้งทลายก็ร่วงตกลงมาใส่หัว นอนชักดิ้นช้กงอ ตายสลบอีก โอ ชีวิตนี้มันดีจัง ก็ผ่านมา

#เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

ท่านอุปสมบทขณะมีอายุ ๒๑ ปี เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ณ พัทธสีมาวัดศรีสุทธาวาส(วัดเลยหลง) อ.เมือง จ.เลย โดยมีหลวงปู่ศรีจันทร์ วัณณาโภ เป็นพระอุปัชฌายาจารย์

#แรงบันดาลใจในการบวช

ท่านว่าบวชหนีทุกข์ หนีงานทำนา เพราะที่บ้านบิดาและมารดา มีอาชีพทำนาซึ่งลำบากมาก เนื่องจากเป็นพี่ชายคนโต มีน้องหญิงชายอีก ๗ คน มีที่นาจำนวนหลายไร่ที่ต้องทำและนาก็อยู่ไกลบ้านมาก หลังจากที่บิดาท่านได้พาท่านไปมอบนาคกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่ จ.เลย ซึ่งหลวงปู่ชอบท่านมีศักดิ์เป็นญาติทางฝ่ายมารดา(คุณยายท่านเป็นพี่สาวของหลวงปู่ชอบ) บิดาท่านฝันว่า “เห็นไก้ฟ้าบินสูงลิบไปไม่กลับมา”

#การออกเที่ยววิเวก

หลวงปู่รื่น ท่านเล่าว่า บวชแล้วก็จำพรรษาอยู่ทางเมืองเลยกับครูบาอาจารย์ พอออกพรรษา เที่ยวอยู่ในสมัยนั้นภูเขายังหนาแน่นอยู่ ไปแถวเมืองเลย โอ้ย มันหนาว ผ้าห่มก็ไม่มี มีแต่จีวร มีแต่สังฆาฏิ ผ้า ๓ ผืน ผ้าอาบน้ำฝน ๑-๒ ผืน อังสะ ๒ ผืน ก็เอามุ้งพับเอาสังฆาฏิคลี่ออกมาพับครึ่งแล้วก็ห่ม มันก็พอได้อยู่หรอก หัวค่ำมันยังไม่เย็นจัด พอเช้าหกโมงครึ่ง เดินเข้าออกจากวัดไปในหมู่บ้าน มันก็ไม่ไกล ประมาณ ๕๐๐เมตร ตอนเช้าต้องให้เด็กมันมาก่อไฟแล้วเอาเท้าเหยียบลงไปในกองไฟนั่นแหละ แล้วมันจึงคลายความเย็น พอรู้สึกก็เดินต่อกว่าจะไปถึงหมู่บ้านเขาก่อไฟไว้ให้ ๓ ที่ มันเดินไม่ได้ ฝ่าเท้ามันไม่รู้สึกและมันแข็ง ความเย็นจัด น้ำในการินไม่ออกต้องเอาไปตั้งไฟซะก่อน สมัยก่อนที่เมืองเลยมันเป็นอย่างนั้น

ปลาอยู่ในน้ำนี่ มันไม่ดิ้นไปไหนเลย มันจะเอาหัวไปซุกอยู่ที่ก้อนหิน โน่นแหละถูกแสงแดดมันจึงค่อยออกหากิน พอไปบิณฑบาตกลับมาก็รอแสงพระอาทิตย์พออาศัยให้นั่งในศาลาได้ กุฏิก็มุงโดยใช้ไม้ไผ่ เสาไม้ไผ่มันไม่กันความหนาวเย็น พอหัวค่ำ เอาผ้าคลุมแล้วก็นอน ความร้อนของพื้นดินยังมีอยู่ พอนอนตื่นมาก็เดิน ไม่เดินก็นั่ง มันนอนไม่ได้เพราะความเย็นมันเข้าไปข้างใน ทำอยู่อย่างนั้นแหละ โอ๋ ในชีวิตก็ไม่เคยเจอความเย็นจัด นั่นแหละไปเจออยู่เมืองเลย พอถึงเมษายนก็กลับบ้าน มาเกณฑ์ทหาร

พอเสร็จก็ออกเดินทางไปภาคกลาง ไปราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี ไปอยู่ทางโน้น ๒๐ ปี ไปอยู่กับหลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต ท่านดุมากแต่ใจเราชอบ ท่านให้อุบายการทำงาน เราทำงานแต่งานไม่ได้ทำเรา เราได้ช่วยเหลือครูบาอาจารย์ที่ท่านจะสร้างภาคกลางให้เป็นวัดปฏิบัติ ภาคกลางตะวันตกเขาเรียก เพชรบุรี มาหาปราจีนบุรี และกาญจนบุรี แต่ก่อนไม่มีพระกัมมัฏฐาน แต่ป่าเขาอุดมสมบูรณ์มาก ขนาดกอไผ่มันใหญ่กว่ากระโถนนะ

ตอนงานก่อสร้างเสนาสนะช่วยเหลือครูบาอาจารย์เสร็จก็ออกธุดงค์ ออกเดินทางจากราชบุรีไปกาญจนบุรี ก็เดินตามเขาตะนาวศรี ไปด้วยกัน ๔ รูป เดินเข้าไปลึกจนถึงพม่า ไข้มาเลเลียกินพระเข้าไปก็ถอยออกกลับมาทางชานเมือง รักษากัน หายไข้ก็เดินเข้าไปอีก โน่นหล่ะ ถึงเขตตะนาวศรี เขตพม่าเดินทางไปเมืองกาญจนบุรี เลาะเลียบเข้าไปถึง อำเภอทองผาภูมิ เข้าพรรษาพอดี ถนนหนทางก็ไม่ดี หน้าฝนก็ไปมาไม่ได้ ถนนมันเป็นโคลน เลยอยู่จำพรรษาที่นั่น มีครูบาอาจารย์ไปอยู่ก่อน หลวงพ่อสาคร ธัมมาวุโธ ท่านไปทำกระต๊อบไม้ไผ่อยู่ก่อน ท่านก็อยู่องค์เดียว เลยไปช่วยสร้างวัดเวฬุวัน ที่อำเภอทองผาภูมิ อยู่ ๗ ปี หน้าแล้งก็ออกไปเที่ยวตามภูเขาแถบนั้น

#บิณฑบาตรเลี้ยงหมู่คณะ

หลวงปู่มงคล สิริมังคโล ได้เล่าถึงหลวงปู่รื่นไว้ว่า.. " พระอาจารย์รื่น เป็นพระที่มีความคิดสร้างสรรค์ ช่วยหมู่คณะ น้ำฝนน้ำป่าไหลหลากท่วมทุกอาณาบริเวณ กระทั่งไม่สามารถบิณฑบาตได้ ท่านทำรอกชักจีวร บาตร ให้โยมรอรับปลายทาง ส่วนพระเดินเหนือน้ำระยะทางไกล แล้วจึงว่ายน้ำข้ามคลองไปพบกับญาติโยมเพื่อรับจีวรและบาตร พระรูปอื่นไม่กล้าว่ายน้ำเพราะน้ำป่าไหลเชี่ยว มีเพียงพระอาจารย์รื่น และพระบุญเลิศ ๒ รูป ต้องทำหน้าที่บิณฑบาตมาเลี้ยงหมู่คณะ ส่วนสะพานไม่ต้องพูดถึง ทำด้วยไม้ไผ่สามลำ ขาดแล้วขาดอีก

#เที่ยววิเวกที่ทุ่งใหญ่นเรศวร

ทีนี่เขาเปิดป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ก็เดินเข้าไปในทุ่งใหญ่นเรศวรก็ไปหาหมู่บ้านกะเหรี่ยง เดินวันหนึ่งพบหมู่บ้านหนึ่ง เดินอีกวันหนึ่งพบอีกหม่บ้านหนึ่ง เราไปนอนอยู่ก็พบเสือ ช้างป่า ตอนเย็นเสือก็มาเพ่นพ่านร้องกระหึ่มแล้วเราไปอยู่ใกล้ทางเดินของมัน มันก็ออกมาหากิน มันก็ไม่ได้มีตัวเดียว มันก็เดินหากินเป็นเขตของมัน มันจะไม่ไปก้าวก่ายกันหรอก รอยเท้าใหญ่เท่ากระโถนนี่ล่ะ เราก็สั่งให้กะเหรี่ยงไปก่อไฟไว้ข้างๆ ตอนหัวค่ำมันก็ยังไม่หนาว แต่ตอนเช้ามืดนี่มันหนาวเย็น เสือโคร่งเสือโคร่งมันคงจะหนาว มันก็มานั่งเลียปาก เลียลิ้น เหมือนหมา เราก็นั่งภาวนา สักพักมันก็ไป เจอบ่อย มันก็ไม่เห็นจะกระโดดมาขย้ำเรา แต่ช้างป่าจะไปกล้าหาญกับมันไม่ได้ อย่าไปขวางทางมัน จะไปกางกลดพักมันจะโยนทิ้งหมดล่ะ เราตัวเล็กๆ คลานออกมา มันก็จะเอางาทิ่มแทงลงกับพื้นดิน ใครพลังไม่พอ อย่าไปนึกว่าตัวเองแก่กล้าใช้ไม่ได้ นี่เราออกห่างๆ แล้วก็ภาวนา อย่าไปร้อง อย่าไปตกใจ หมีก็เหมือนกัน หมีนี่ตกใจไม่ได้ ถ้าตกใจมันก็วิ่งเข้ามาหาเสียงนั่นแหละ ถ้ามันวิ่งมาหาเสียงเราตายอย่างเดียวล่ะ มันเอาเล็บครูดตัวลายหมดล่ะ

นี่ละเราคนที่ภาวนาไม่สงบ มันต้องใช้สัตว์ที่พวกเรากลัว ทีนี่พอมาถึงเมืองกาญจนบุรี ก็ไปเมืองเลย สมัยก่อนรถมันไปไม่ได้ ต้องเดินจากเลยไปเชียงใหม่ ใช้เวลา ๖ เดือน เดินไปเรื่อย พักไปเรื่อย นี่ก็ไปด้วยกัน ๔ องค์ ช่วงเลยไปเชียงใหม่มีแต่ป่า พวกสัตว์ร้าย เสือก็มีอยู่บ้าง แต่มันมีน้อย เพราะช้างบ้านมันมีมาก เดินไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็เจอหมู่บ้าน แต่มันก็ยังเป็นป่าอยู่ เมืองเลยมันหนาว พอไปถึงเชียงใหม่ก็หาที่จำพรรษา จำพรรษาที่เชียงใหม่ ๑ พรรษา

จากนั้นก็กลับลงมาภาคกลางอีก หมุนกันอยู่อย่างนั้นแหละ ทางเดินชีวิต กว่าจะมาถึงทุกวันนี้ เหตุที่มันลำบากๆ ก็หมดไปละ เหลือแต่ในเมืองนี่ล่ะ มันร้ายกว่าสัตว์ในป่านะ สัตว์ในเมืองมันพูดได้ด้วย มันพูดร้องเรียกกัน ความต้องการเป็นด้วย มันร้ายทุกสิ่งทุกอย่างเลย เราเข้ามาปฏิบัติก็เข้ามาดูใจตัวเอง มันเกิดความทุกข์ความสุขอย่างไร นั่งพุทโธ พุทโธ ให้มันเห็น ถ้าเห็นพุทโธก็เห็นพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เห็นพุทโธก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้า

#อาการอาพาธ

พออายุเข้า ๖๐ ปี ก็อาพาธหนัก ไตวาย คือไตมันไม่ชะน้ำออก บวมทั้งร่างกาย ตา หู จมูก ปิดหมดล่ะ บวมเหมือนซากศพระหว่าง ๓-๔ วันนี้ บวมเปล่งขึ้นมา แต่ว่าในสติสัมปชัญญะ เรารู้ทุกอย่าง ร่างกายมันไม่สัมพันธ์กัน คือคนมาเยี่ยมมาพูดนี่ รู้จักหมด แต่ตามันลืมไม่ขึ้น หมอบอกต้องเข้ารับการผ่าตัด มันไม่ได้๕๐/๕๐ แล้วนะ ถ้าฟื้นคืนก็เรียกว่าอัศจรรย์ หมอบอกอย่างนั่น ผ่าตัดเสร็จก็สลบอยู่ ๑๕ วันจึงฟื้นคืนมาได้

พอปีที่ ๒ อายุ ๖๑ ปี กระแสเลือดติดเชื้อหนักกว่าปีที่ผ่านมา ต้องรีบเข้ารับการผ่าตัด เลือดมันจะกระจาย เพราะเส้นเลือดมันแตก ผ่าตัดแล้วก็มานอน ICU อยู่คืนนึง พอมาถึงตอนเย็น กระแสเลือดมันปริออกมา หมอบอกว่าเข้าห้องผ่าตัด แต่เรารับรู้อยู่ทุกอย่าง ผ่าตัดออกมามันเป็นแผลหมดเลยทั้งร่างกาย พอตอนเย็นเอาอีกแล้ว เลือดปูดออกมาเข้าห้องผ่าตัดอีก อาทิตย์เดียว ๔-๕ เที่ยว 

ดูสิชีวิตนี้ แต่ดีที่เราได้ฝึกการแก่กล้าของจิต เพราะหมอก็เรียนสรีระร่างกาย ตัวเองก็ไปเรียนเรื่องจิต ไม่เรียนเรื่องสรีระร่างกายเหมือนเขา ร่างกายก็ยกให้เขาดูแลไป ส่วนจิตเราก็ดูแลไม่ให้มันไปวุ่นวายไปเดือดร้อน ไม่ให้เจ็บไม่ให้ปวด หมอบอกว่าอย่างไร อ้าวแล้วแต่หมอ มีสติรู้ตัวอยู่นั่น มันก็ฟื้นคืนมา

#พิจารณาเวทนา

หลวงปู่เล่าถึงการต่อสู้กับเวทนาในช่วงที่อาพาธเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลว่า ชีวิตได้ผจญภัยโชกโชนมหัศจรรย์ ไม่มีใครเทียบได้ ชีวิตที่เกิดมาก็ ๓ ปี จะเข้าปีที่ ๔ นี้ที่ออกจากโรงพยาบาล เราต้องฝึกจิตเราให้มันดี ให้มันต่อสู้กับเวทนา พร้อมที่จะสู้กับมันได้ทุกเมื่อทุกเวลา ถ้าเราไม่พร้อมนะ มันกินเราหมด มันกินร่างกายเรา กินจิตใจเรา ทำไมมันปวด มันเจ็บ มันทุกขเวทนา โอย มันสารพัดนะ เวลามันจะจากเราไปมันเขย่าทุกอย่าง เหมือนนกตัวใหญ่ที่มันไปจับกิ่งไม้ มันก็เขย่ามาก ถ้าตัวเล็กมันบินไปตัวมันเบามันจับมันก็ไม่เขย่าต้นไม้ อันนี้มันก็เหมือนกันกับร่างกายของเรามันจะเขย่าอย่างรุนแรง เอาให้สะทกสะท้านไปหมดเลย ทั้งเจ็บทั้งปวดทั้งแสบทั้งร้อน น้ำมันเหือดแห้งมันก็เดือดร้อน ไฟมันเผา ที่เรามาฝึกอยู่นี้ มันปวดก็สู้ทุกขเวทนา ถ้าสู้มันได้มันก็ชนะ แต่สู้ไม่ได้มันก็แพ้ เอาไปพิจารณาแก้ไข

#กาลละสังขาร

หลวงปู่รื่น ท่านละสังขารลงเมื่อวันพุธที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๖ เมื่อเวลาตี ๒.๓๒ น. ด้วยอาการปอดติดเชื้อรุนแรง ณ ร.พ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น สิริอายุ ๖๒ ปี ๔ เดือน ๔๒ พรรษา

"..ถ้าเราจริงจังกับชีวิตของเราในชาตินี้ มันก็จะหมดไปตามพระพุทธเจ้า ตามพระสาวกของพระพุทธเจ้า ขอให้เราเอาไปพิจารณา แก้ไขจิตใจของเรา ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง.." 

โอวาทธรรมคำสอนพ่อแม่ครูอาจารย์
หลวงปู่รื่น จิตฺตทโม
วัดป่านิโคธาราม อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี

Cr. หนังสือประวัติองค์หลวงรื่น จิตตทโม
------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาบุญที่มา FB page พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco