หลวงพ่อคำแพง อัตตสันโต วัดบุญญาณุสรณ์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี




๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อคำแพง อัตตสันโต ๏ 
     วันนี้วันที่ ๒๕ มกราคม​ ๒๕​๖​๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพ ครบรอบ ๒๒ ปี หลวงพ่อคำแพง อตฺตสนฺโต พระอริยสงฆ์แห่งวัดบุญญานุสรณ์ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี หลวงพ่อคำแพง ท่านเป็นชาวบ้านหนองวัวซอโดยกำเนิด ท่านเป็นพระพี่ชายแท้ ๆ ของหลวงพ่อทองพูน กาญจโน วัดป่าภูกระแต จ.หนองบัวลำภู และท่านพระอาจารย์ชัยวัฒน์ อุตมวงฺโส วัดป่าศิริมงคล อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี หลวงพ่อคำแพง ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๑ ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยที่ท่านเป็นเด็ก ตามแม่ไปตักบาตรหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร หลวงปู่หลุยก็เอาข้าวก้นบาตรให้ท่านกินหนึ่งปั้น ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๒ ปี โดยได้เข้านาค ฝึกหัดอบรมข้อวัตร ธรรมวินัยอยู่กับหลวงพ่อบัวกัน สิริธโร ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัด ทำกิจวัตรไม่เคยขาดตกบกพร่องจึงได้อุปสมบท ในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๑๔ เวลา ๑๓.๑๕ น. ณ วัดบุญญานุสรณ์ จ.อุดรธานี โดยมีพระครูประสิทธิคุณานุการ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "อตฺตสนฺโต" ท่านเป็นศิษย์ได้ศึกษาธรรมกับ หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ , หลวงปู่ขาว อนาลโย , หลวงปู่สิงห์ สุขปุญฺโญ และมรณภาพลง ณ วัดบุญญานุสรณ์ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๕ จึงขอน้อมนำปฏิปทาช่วงที่ท่านร่วมเดินธุดงค์กับหลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร มาเผยแผ่เพื่อน้อมเป็นสังฆานุสติและมรณานุสติครับ

"..เหตุก็คือปัจจุบัน ผลก็คืออนาคต วันนี้เราทำความดี วันต่อไปเราก็มีความสุข..." โอวาทธรรมคำสอนหลวงพ่อคำแพง อัตตสันโต

• ประสบการณ์ธุดงค์บางตอนของหลวงพ่อคำแพง อตฺตสนฺโต

หลวงพ่อคำแพง อตฺตสนฺโต เล่าถึงการธุดงค์ของพระป่า ท่านเดินทางรอนแรมไปตามป่าตามเขาพักอาศัยตามร่มไม้ชายเขา ตามหมู่บ้านกระเหรี่ยง แม้ว เหย้า อีก้อ มูเซอ จีนฮ่อ ซึ่งหมู่บ้านเหล่านี้ ในสมัยก่อนสามารถเดินเท้าเข้าไปได้อย่างเดียว

หลังออกพรรษาในปีพ.ศ.๒๕๑๘ ท่านได้พบหลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร โดยบังเอิญและได้สนทนารับอุบายธรรมจากหลวงพ่อจันทร์เรียน ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ หลวงพ่อจันทร์เรียนก็ได้ให้อุบายธรรมหลายอย่างตลอดจนถึงวิธีการเอาชนะกิเลส การปฏิบัติต้องไม่กลัวตาย ต้องผ่านตายให้ได้ก่อนจึงจะปฏิบัติอยู่กับท่านได้ เมื่ออยู่ด้วยกันระยะหนึ่งแล้ว หลวงพ่อจันทร์เรียนท่านจะไปธุดงค์ที่ผาดอก บ้านเซียงเคี่ยน อ.เทิง จ.เชียงราย หลวงพ่อคำแพงขอติดตามไปด้วย 
หลวงพ่อจันทร์เรียน ย้อนถามท่านว่า 
“ท่านยังเสียดายชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้ายังเสียดายชีวิตอยู่ก็ไม่ต้องไปกับผม”  

หลวงพ่อคำแพง จึงตอบว่า 
“ถึงอย่างไรผมก็ขอไปกับครูจารย์ให้ได้”  
หลวงพ่อจันทร์เรียนท่านเห็นความตั้งใจดีของหลวงพ่อคำแพง จึงอนุญาตให้ติดตามไปได้ ในคณะธุดงค์ครั้งนั้น มีสหธรรมมิกหลวงพ่อจันทร์เรียน อีกรูปคือ หลวงพ่อสมศรี อตฺตสิริ วัดป่าผาน้อย จ.เลย รวมพระอยู่ ๓ รูป และ สามเณรเหลาอีกรูปนึง เมื่อเตรียมเครื่องบริขารเสร็จ ก็ออกเดินทางทันที ต้องเดินขึ้นเขาหลายกิโลเมตร ผ่านหมู่บ้านและดงหนาป่าทึบ เข้าไปทุกขณะ เมื่อขึ้นไปหลังเขาแล้วก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ คณะธุดงค์เมื่อท่านนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วก็เดินสำรวจหาที่พักปักกลด และแหล่งน้ำเพื่อสรง และล้างบาตร 

เมื่อเจอแหล่งน้ำและได้ที่พักแล้วต่างองค์จัดบริขารออกจากบาตร และกางกลด เสร็จแล้วสรงน้ำ ฉันน้ำเสร็จก็เป็นเวลาค่ำมืดพอดี หลวงพ่อจันทร์เรียน ท่านกำชับว่า ขอให้ทุกองค์ตั้งใจปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มที่ เรื่องความพากเพียรต้องมาก่อน ความขี้เกียจขี้คล้านให้อยู่ที่หลัง เพราะนี่คือการออกสู่สนามรบจริงๆ ถ้าหากมัวประมาทนิ่งนอนใจแล้วจะเสียทีกิเลสโดยไม่รู้ตัว เมื่อหลวงพ่อจันทร์เรียน ท่านพูดเสร็จก็ให้แต่ละองค์แยกย้ายกันไปภาวนาในแต่ละที่ของตน 

หลวงพ่อคำแพง ท่านปักกลดอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งองค์ท่านไม่ทราบว่าที่ตรงนั้นเป็นที่หากินของสัตว์ป่าในยามค่ำคืน พอตกดึกหน่อย ท่านได้ยินเสียงกิ่งไม้หักลงมาจากภูเขา เสียงนั้นดังลงมาใกล้ทุกขณะ ทำให้ท่านอดวิตกไม่ได้ว่าเป็นเสียงของอะไรกัน แต่ในจิตของท่านนั้นก็บริกรรมพุทโธๆ ลงไปเรื่อยๆ พยายามไม่ให้จิตหวั่นไหวไปตามเสียงที่ได้ยิน แต่ดูเหมือนจิตจะยิ่งเงียบเท่าไหร่ เสียงก็จะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และใกล้เข้ามาๆ และมาหยุดลงไม่ไกลจากตรงที่ท่านปักกลดเท่าไรนัก คล้ายกับว่ามันเห็นสิ่งผิดปกติเกิดในเส้นทางที่มันเคยเดินผ่านประจำนั้น สายตาของมันคงจับจ้องมายังที่ท่านนั่งภาวนาอยู่ ฝ่ายหลวงพ่อคำแพง ก็พิจารณาว่าทำไมเสียงของมันเงียบไปผิดสังเกตทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เสียงเหยียบใบไม้ดังมาก จนเวลาผ่านไปพักใหญ่เสียงนั้นจึงค่อยๆดังขึ้นมาอีก และยิ่งใกล้เข้ามา ตรงมายังกลดของท่าน หลวงพ่อคำแพงท่านจึงเกิดความสงสัย และได้ลืมตาขึ้นดู 

สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือ หมีควายตัวใหญ่ที่ยืนทมึนจ้องมายังท่าน คล้ายจะข่มขู่ในฐานะเจ้าถิ่น พอท่านรู้ว่าเป็นหมีควายเท่านั้น ทั้งความกลัวและความตกใจวิ่งเข้ามาสู่หัวใจท่านทันที ท่านจึงหลับตาบริกรรมพุทโธๆ ย้ำเข้าไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจ ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีกต่อไป มีแต่จิตกับพุทโธเท่านั้น หมีควายตัวนั้นมันค่อยเดินเข้ามาจนมาถึงกลดท่าน มันยังคงเดินวนรอบกลดอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ทำอันตรายใดๆ

ส่วนท่านก็บริกรรมพุทโธจนจิตติดกับพุทโธเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หยั่งลงสู่ความสงบอย่างรวดเร็วพอจิตรวมพลึบลงไปอยู่ในสมาธิ ก็เกิดความสว่างขึ้น และไม่รู้สึกอะไรอีกเลย มีแต่ความสุขอยู่อย่างนั้น ความกลัว ความเจ็บปวด ความหวั่นไหว ไม่รู้หายไปไหนหมด มีแต่ดวงจิตที่ใสสว่างอยู่อย่างนั้น จนเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงที่จิตสงบอยู่ในอัปปนาสมาธิจนจิตมีความอิ่มตัวในสมาธิ จึงค่อยถอนออกจากสมาธิขึ้นมาอยู่ในระดับที่รับทราบอารมณ์ความรู้สึกภายนอกแล้ว ท่านจึงย้อนเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร หลังจากที่พิจารณาจนทราบแน่ชัดแล้วท่านจึงมองหาหมีควายตัวนั้น แต่การมองหาคราวนี้แตกต่างจากครั้งแรก เพราะการมองเห็นครั้งแรกเต็มไปด้วยความหวั่นไหวหวาดกลัว วิตกกังวลว่าหมีควายตัวนั้นจะมาทำอันตราย เห็นหมีควายเป็นศัตรู แต่หลังจากจิตของท่านที่สงบลงแล้ว และถอนขึ้นมา กลับมองว่าหมีควายตัวนั้นเป็นมิตร และมองทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมิตรไปหมด แต่หมีมันคงหนีไปหากินที่อื่นหรือไม่ก็กลับไปยังที่อยู่ของมัน จึงมองไม่เห็น

เวลาจวนใกล้สว่างพอดี ท่านจึงได้ออกจากที่ภาวนา ทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วท่านก็สวดมนต์ เก็บบริขาร เตรียมตัวออกรับบิณฑบาต ในเส้นทางหมู่บ้านที่เดินผ่านมาเมื่อวานนี้ ซึ่งก็อยู่ไกลพอสมควร พอได้เวลาบิณฑบาตหลวงพ่อจันทร์เรียนก็เดินออกมาจากที่พัก พอเห็นหน้าหลวงพ่อคำแพงแล้ว หลวงพ่อจันทร์เรียน ก็ได้พูดทักทายว่า 
“ท่านแพง เมื่อคืนนี้เห็นอะไรไหม” 
หลวงพ่อคำแพงตอบว่า “เห็นครับ เมื่อคืนนี้ ผมเห็นหมีควาย และเมื่อผมเห็นแล้วก็ทำให้รู้สึกว่า เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลย”

หลวงพ่อจันทร์เรียน เลยกล่าวกับท่านว่า “ธรรมดาแหล่ะคนเรา เมื่อเห็นธรรมก็ต้องผ่านความตายไปก่อน ถ้ายังไม่ผ่านความตายก็ไม่เห็นพุทโธ พุทโธนี้เอาพึ่งเป็นพึ่งตายได้อย่างแน่นอน”

การเดินธุดงค์นี้ไม่ใช่เรื่องความสะดวกสบาย ไม่ใช่เรื่องความคึกคะนอง ไม่ใช่เรื่องความคลุกคลี และไม่ใช่เรื่องอิ่มหมีพีมัน แต่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่กล่าวมาข้างต้นโดยสิ้นเชิง อาหารการขบฉัน ที่อยู่ที่อาศัย ผ้าผ่อนท่อนสไบ ยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องไปคำนึงถึง อาศัยไปตามยถากรรมตามมีตามเกิด พอให้มีลมหายใจได้ปฏิบัติไปวันหนึ่ง ๆ ก็ถือเป็นมหาโชคลาภแล้ว ฉะนั้นพระที่ท่านออกธุดงค์จึงไม่ห่วงว่าชีวิตจะเป็นหรือตาย ยอมสละทุกอย่างแม้ชีวิตก็ไม่เสียดาย กลัวอย่างเดียวคือ กลัวกิเลสจะไม่หมดจากหัวใจเท่านั้น เพราะต้นเหตุของความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คือ กิเลสตัณหา อวิชชา อุปทานนี่เอง ถ้ากิเลสตัณหา อวิชชา อุปทานหมดไปจากจิตใจเมื่อใดแล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ชนะโดยประการทั้งปวง และจะเห็นความแตกต่างระหว่างโลกสมมุติกับโลกวิมุติอย่างน่าอัศจรรย์

ฉะนั้นพระธุดงค์ ที่มุ่งหวังความหลุดพ้นจึงไม่ห่วงเรื่องความเป็นความตาย ท่านจึงหมายมั่นปั้นมือ ตั้งอกตั้งใจที่จะปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงตามรอยแห่งองค์พระศาสดาด้วยความเคารพและศรัทธาจริงๆ

คณะของหลวงพ่อที่ออกธุดงค์ก็เช่นเดียวกัน ท่านเดินทางรอนแรมไปตามป่าตามเขา พักอาศัยตามร่มไม้ชายเขา ตามหมู่บ้านกระเหรี่ยง แม้ว เหย้า อีก้อ มูเซอ จีนฮ่อ ซึ่ง หมู่บ้านเหล่านี้ ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องเดินเท้าเข้าไปอย่างเดียวเท่านั้น เรื่องรถเรื่องลาไม่ต้องพูดถึง อย่างดีก็มีแค่ม้าพอได้ขนเสบียงของชาวเขาเท่านั้น นอกนั้นเดินเท้าเหมือนกันหมด 

ในปี พ.ศ.๒๕๑๘ - ๒๕๑๙ คณะของท่านได้ออกธุดงค์คราวละ ๓ - ๔ เดือน ถึงได้ย้อนกลับเข้าสำนักที่จำพรรษา เพื่อขอกราบเรียนเล่าถวายการภาวนาในขณะที่ออกธุดงค์ ว่าผิดถูกอย่างไร และขอคำชี้แนะจากครูบาอาจารย์เพื่อให้การภาวนานั้นเป็นไปด้วยความถูกต้องและรวดเร็ว สมกับคำว่า “ศิษย์มีครู”

ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ นี้ ท่านได้ลงมาเยี่ยมโยมพ่อโยมแม่ที่จังหวัดอุดรธานี และได้เทศนาและแนะนำโยมพ่อโยมแม่ตลอดจนถึงญาติพี่น้องทุก ๆ คนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ และรู้จักให้ทานรักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาอย่าได้พากันประมาทนิ่งนอนใจ เพราะไม่รู้ว่า ความตายจะมาถึงเมื่อใด ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็ควรที่จะทำบุญ รักษาศีล และเจริญเมตตาภาวนาให้มาก ๆ ซึ่งโยมทั้งสองก็น้อมรับและยอมปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ โดยเฉพาะโยมพ่อท่านตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจังในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ท่านจะรักษาศีลอุโบสถตลอด ถึงแม้บางวันท่านจะไม่ได้มาที่วัดแต่ก็อธิฐานรักษาที่บ้านไม่เคยขาด 

หลังจากที่ท่านได้อยู่สงเคราะห์โปรดโยมพ่อโยมแม่และญาติพี่น้องแล้ว ท่านก็ได้ย้อนกลับขึ้นไปภาคเหนืออีกครั้งหนึ่ง โดยนั่งรถโดยสารไปลงที่กรุงเทพฯ และเข้าไปพักที่วัดบรมนิวาสอยู่ ๕ วัน ท่านจึงเดินทางขึ้นเหนือไปลงที่จังหวัดเชียงใหม่ และเข้าพักจำวัดที่วัดสันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่ ๑ คืน แล้วค่อยเดินทางต่อไปพักที่วัดป่าห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้สอบถามหาทางขึ้นไปบ้านผาแด่น (บ้านกะเหรี่ยง) เพราะก่อน หน้าที่จะขึ้นมาเชียงใหม่ ท่านได้ทราบข่าวว่า หลวงพ่อจันทร์เรียนมาอยู่ที่นี่กับหลวงปู่ชอบ เมื่อท่านรู้เส้นทางแล้วจึงได้เดินทางไปพักที่บ้านสลวงและห้วยส้มสุกเข้าไปบ้านพระบาทสี่รอย แล้วจึงถึงบ้านผาแด่น 

เมื่อไปถึงบ้านผาแด่นแล้ว ท่านถามพระเณรที่อยู่สำนักสงฆ์ ท่านก็บอกว่าหลวงพ่อจันทร์เรียนไปอยู่ที่บ้านแม่หลอด ห่างจากที่นี่ไป ๒ กิโลเมตร ท่านพักที่ สำนักสงฆ์ผาแด่นระยะหนึ่งแล้วจึงเดินทางต่อไปที่บ้านแม่หลอด ซึ่งเป็นบ้านกะเหรี่ยงอีกเช่นกัน เมื่อไปถึงบ้านแม่หลอดแล้ว สอบถามชาวบ้านเขาบอกว่าหลวงพ่อจันทร์เรียนได้เดินทางไปที่บ้านปางกื้ด เขตอำเภอแม่แตงแล้ว เมื่อ ๒-๓ วันก่อน ท่านเห็นสภาพภูมิอากาศที่บ้านแม่หลอดแล้วทำให้ท่านรู้สึกชอบสถานที่แห่งนี้ สภาพป่าที่เป็นธรรมชาติร่มรื่นดี มีความเงียบสงบวิเวกดี อีกทั้งยังเป็นสถานที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยมาบำเพ็ญเพียรภาวนามาแต่ก่อนคงจะมีอะไรดีแน่ ๆ ท่านเลยพักจำวัดอยู่ที่นี่ต่อสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อไป 

การที่ท่านพักอยู่ที่บ้านแม่หลอดนี่ทำให้ท่านได้พิจารณาหลายอย่าง โดยเฉพาะในด้านอาหารบิณฑบาตต้องพิจารณาแล้วพิจารณาอีก กว่าจิตจะยอมรับได้ ต้องใช้เวลาหลายวัน เพราะอาหารที่เขานำมาถวายนั้น กลิ่นมันแรงมากทั้งเหม็นทั้งคาว โดยเฉพาะอาหารที่เป็นเมนูหลักของชาวกะเหรี่ยง คือ แกงข้าวเบือ พระธุดงค์กัมมัฏฐานถ้าไม่อึดจริงแล้วต้องเกิดอาการท้องเสียทุกรายในระยะเริ่มต้น แต่ถ้าอยู่ไปนานแล้วจะรู้ว่ารสชาติดีเหมือนกัน

หลวงปู่ชอบสมัยที่องค์ท่านยังอยู่ที่ผาแด่น ท่านก็เคยเทศน์ให้พระเณรที่ไปอบรมธรรมะฟังอยู่บ่อย ๆ ว่า
“ฉันไปเถอะอยู่ในท้องเรายิ่งคักกว่านี้อีก”

บางวันในขณะที่กำลังฉันอาหารอยู่นั้น รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่เคี้ยวแล้วมันไม่ยอมขาดสักที จะว่าข้าวก็ไม่ใช่ จะว่าผักก็ไม่เชิง แต่รู้สึกว่ามันนุ่ม ๆ ท่านก็เลยลองคายออก มาดู จึงถึงบางอ้อ ที่แท้ก็คือฝ้ายมัดมือของเขานี่เอง ตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้มันคงจะขาดตกลงไปในหม้อข้าว แล้วตักห่อใช้ใบตองถวายพระ ท่านบอกว่าก็อร่อยดี (หัวเราะ)

หลังจากที่พักอยู่แม่หลอดหลายวัน ท่านจึงเดินทางต่อไปที่บ้านปางกื้ด อำเภอแม่แตง พักรอนแรมมาเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ภาวนาไปเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงบ้านปางกื้ดแล้ว ท่าน เข้าไปกราบหลวงพ่อจันทร์เรียนถามข่าวคราวสนทนาธรรมกันจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านเข้าพักที่กุฏิ ส่วนหลวงพ่อจันทร์เรียนท่านพักอยู่หน้าถ้ำ ท่านพักภาวนาอยู่กับหลวงพ่อจันทร์เรียน ที่วัดบ้านปางกื้ดนี้นานพอสมควร เพราะวัดตั้งอยู่ในหุบเขาที่เงียบสงัดมาก

อยู่ต่อมาท่านมีความสงสัยว่าภายในถ้ำมีอะไรบ้างก็เลยอยากจะเข้าไปดูว่าเป็นอย่างไร ท่านก็เลยไปชวนหลวงพ่อจันทร์เรียนลงไปดูด้วยกัน พร้อมกับเตรียมอุปกรณ์มีไม้ขีดไฟ เทียน และไฟฉาย เป็นต้น พอเข้าไปได้สักพักถึงได้ทราบว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีความสลับซับซ้อน อยู่พอสมควร เป็นชั้น ๆ ลงไป ท่านเดินสำรวจลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่มีที่สุดของถ้ำ จนไฟฉายหมดแสงสว่างต้องจุดเทียนแทน เทียนก็จวนจะหมดก็ยังสำรวจดูไม่ทั่ว ท่านก็เลยชวนหลวงพ่อจันทร์เรียนกลับขึ้นมา แต่เทียนก็มาหมดในระหว่างทางที่เดินกลับ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืดสนิทไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหน 

ท่านปรึกษากับหลวงพ่อจันทร์เรียนว่าจะทำอย่างไร 
หลวงพ่อจันทร์เรียนท่านเลยแนะนำว่า โดยธรรมดาทั่วไปถ้าหายใจไปทางไหนแล้วมันไม่โล่ง ตรงนั้นน่าจะเป็นทางปิด แต่ถ้าหายใจไปทางไหนแล้วรู้สึกโล่ง ทางนั้นน่าจะเป็นทางออก ท่านเลยลองทำดูด้วยการค่อย ๆ หายใจไปรอบ ๆ บริเวณนั้น มือก็ค่อย ๆ คลำมาเรื่อย ๆ พร้อมกับเท้าก็ค่อยก้าวเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมองเห็นแสงสว่างบริเวณปากถ้ำส่องเข้ามาพอลาง ๆ ท่านก็ค่อย ๆ เดินออกมาจนถึงปากถ้ำ ถึงหายใจโล่ง และต่างก็หัวเราะด้วยความดีใจ ท่านบอกว่าตอนเดินออกมากลัวตกหน้าผา อยู่เหมือนกัน เพราะช่วงที่เข้าไปใหม่ ๆ สังเกตเห็นมีหน้าผาอยู่เหมือนกันแต่ไม่สูงเท่าไร ถ้าตกลงไปก็คงเจ็บอยู่เหมือนกัน 

ในปีนี้ท่านตั้งใจว่าจะจำพรรษากับหลวงพ่อจันทร์เรียนให้ได้ แต่ก็มีเหตุทำให้ต้องแยกย้ายกันไปจนได้ เพราะหลวงพ่อจันทร์เรียนท่านมีความจำเป็นต้องเดินทางกลับอีสานในขณะที่หลวงพ่อคำแพงท่านยังไม่อยากกลับ เมื่อไม่ได้จำพรรษากับหลวงพ่อจันทร์เรียนแล้ว ท่านก็ออกเดินทางต่อโดยมุ่งหน้าสู่จังหวัดลำปาง

กราบ กราบ กราบ

#บรรณานุกรมอ้างอิง : คัดลอกจากหนังสือ "อตฺตสนฺโต" อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสันติวรคุณ(หลวงพ่อคำแพง อตฺตสนฺโต ณ วัดบุญญานุสรณ์ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ๒๗ มกราคม ๒๕๕๐ ; หน้า ๕๙ - ๖๔ 
------
กราบขอบพระคุณที่มา และอนุโมทนาบุญ FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญภาพจาก www.watsandhitham.com
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco