หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


๘ มกราคม ๒๕๖๗ น้อมรำลึก ๑๑๒ ปี ชาตกาลหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ "พระอริยสงฆ์ผู้เป็นดั่งสาแหรกธรรมท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" แห่งวัดอรัญญบรรพต ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ท่านได้ฉายานามที่นักปฏิบัติธรรมต่างยกย่องว่า"สาแหรกธรรมของท่านพระอาจารย์มั่น" คือท่านเป็นผุ้มีความสามารถทำกายและจิตให้มั่นคงดั่งสาแหรก สำหรับรองรับอรรถ และธรรมที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นสั่งสอน และสามารถถอนตนจากหล่มลึกคือกองทุกข์เสียได้ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีชีวิตและความเป็นอยู่เรียบง่าย มีปฏิปทาอันแกร่งกร้าน่าอัศจรรย์กรำศึกในธุดงค์ธรรม หาผู้เปรียบได้ยากและเป็นทายาทธรรม ที่สำคัญรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺตเถร 

ท่านถือกำเนิด ตรงกับวันพุธที่ ๘ มกราคม พ.ศ.๒๔๕๕ ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีชวด ณ บ้านหม้อ ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

เมื่อท่านมีอายุได้ ๒๐ ปี ก็มีความปรารถนาจะออกบวช โดยพิจารณาเห็นว่าชีวิตนี้เกิดมาแล้ว ทำงานไม่รู้จักจบจักสิ้น ตายแล้วก็ไม่ได้อะไรติดตัวไป โลกนี้มีทั้งสุขและทุกข์ แต่ความสุขที่ว่านี้เป็นความสุขชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน มันเป็นเพียงเหยื่อล่อ ให้คนเราติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น คนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตายด้วยกันทุกคน ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เมื่อพิจารณาดังนี้แล้ว ท่านจึงไปขออนุญาตบิดา และมารดาเพื่อขอลาบวช ณ อุโบสถวัดบ้านหงษ์ทอง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย มีท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อเดือนมกราคม ปี ๒๔๗๕

ในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ได้พบกับท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโต ท่านอาจารย์บุญมา ได้พาท่านไปบวชเป็นพระธรรมยุติที่วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี ในพรรษาแรก ก็ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสาระวารี จ.อุดรธานี เมื่อออกพรรษาแล้วจึงธุดงค์ขึ้นไปพักวิเวก ที่ถ้ำผาปู่ และถ้ำผาบิ้ง จ.เลย 

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๗ จึงได้กลับลงมาจำพรรษาที่วัดอรัญวาสี จ.หนองคาย ในพรรษานี้องค์ท่านก็ตั้งใจบำเพ็ญเพียรอย่างหนัก ด้วยการไม่นอนกลางวัน เมื่อค่ำลงจะทำความเพียร จนถึง ๔ ทุ่มจึงจำวัด พอถึงตี ๒ จึงลุกขึ้นทำความเพียรต่อ จนถึงสว่าง พอออกพรรษา ท่านจึงธุดงค์ไปอยู่ที่ถ้ำผาบิ้งอีกครั้ง พอถึงเดือนหกก็ได้กลับมาที่วัดป่าบ้านค้อ ในวันออกพรรษาปีนั้นเอง 

ท่านได้ปฏิบัติธรรมด้วยการภาวนา ก็ทำให้จิตสงบลงเรื่อย ๆ จนสงบดีแล้ว แต่พอมีเรื่องต่าง ๆ เข้ามากระทบ เช่น ทางตา ก็ทำจิตใจหวั่นไหว แก้อย่างไรก็ไม่ตก ท่านจึงได้คิดถึงท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้จักเลย เพียงแต่เคยได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ 

จากนั้นก็ชวนเพื่อนภิกษุรูปหนึ่ง เดินทางมาหาท่านอาจารย์มั่นด้วยกันที่ จ.เชียงราย ในคืนวันหนึ่งที่ยังเดินไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงนอนอยู่ในป่าข้างทาง คืนนั้นได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่น พอถึงรุ่งเช้าก็ได้ทราบว่าเพื่อนภิกษุก็ได้นิมิตเห็นท่านอาจารย์มั่นเช่นกัน พอสอบถามถึงลักษณะที่ปรากฏก็ทราบว่าเป็นเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ทำให้องค์ท่านแน่ใจว่า จะต้องได้พบท่านอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน 

หลวงปู่เหรียญ ได้อยู่ศึกษาข้อวัตรปฏิปทาร่วมกับพ่อแม่ครูอาจารย์เช่น หลวงปู่บุญมา ฐิตเปโม ,หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ,หลวงปู่ขาว อนาลโย ,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ,หลวงปู่กู่ ธมฺมทินโน เป็นต้น จากนั้นจึงได้ออกติดตามหลวงปู่มั่น ขึ้นไปจ.เชียงใหม่ ครั้นเมื่อเดินทางไปถึง จ.เชียงใหม่ ไปที่วัดเจดีย์หลวง ได้พบกับหลวงตาเกต ซึ่งได้พาท่านไปพบท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่ป่าละเมาะใกล้ๆ โรงเรียนแม่โจ้ ในวันนั้นท่านพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทว่า...

"ธรรมดาเขาทำนาทำสวน เขาไม่ได้ทำใส่บนอากาศเลย เขาทำใส่พื้นดินนี้แหละจึงได้รับผล ฉันใด โยคาวจรผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย ควรพิจารณาร่างกายนี้แหละเป็นอารมณ์ จนเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในนามในรูปนี้ ด้วยอำนาจแห่งปัญญานั้นแหละ จึงจะเป็นทางหลุดพ้นได้ ไม่ควรติดในความสงบโดยส่วนเดียว "

นับตั้งแต่องค์ท่านได้พบกับหลวงปู่ใหญ่มั่น ตั้งแต่ปี ๒๔๘๑ เป็นต้นมา ท่านก็ยิ่งเลื่อมใสต่อท่านพระอาจารย์มั่น มากขึ้นตามลำดับ ท่านจึงตัดสินใจธุดงค์อยู่ทางภาคเหนือต่อ ได้รับข้ออรรถข้อธรรมจากหลวงปู่ใหญ่มั่นอยู่หลายที่เช่น วัดบ้านปง หรือวัดอรัญญวิเวก อ.แม่แตง วัดห้วยน้ำริน อ.แม่ริม จำพรรษาที่เชียงใหม่รวมทั้งสิ้น ๑๐ ปี และ อ.เถิน จ.ลำปาง อีก ๓ ปี ซึ่งในครั้งนั้นมีพระอาจารย์ที่ร่วมธุดงค์ด้วยทางภาคเหนือ ได้แก่ ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์กู่ หลวงปู่สิม หลวงปู่ชอบ และหลวงปู่ขาว เป็นต้น ได้ติดตามหลวงปู่มั่นกลับมาภาคอีสาน หลังจากหลวงปู่ใหญ่มั่น นิพพานแล้ว องค์ท่านก็ได้ติดตามหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ลงไปเผยแผ่ธรรม ทางภาคใต้

และได้ขึ้นมาอยู่จำพรรษาโปรดลูกศิษย์เผยแผ่ธรรมที่วัดป่าอรัญญบรรพต วัดบ้านเกิดท่านตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๐๒ เรื่อยมาจนถึงปีพ.ศ.๒๕๔๘ และเมื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถมีพระราชศรัทธาทรงอาราธนานิมนต์ให้ท่านพักที่เสนาสนะป่าในพระราชวังสวนจิตรลดา กรุงเทพฯ เป็นประจำ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ มรณภาพลงด้วยอาการสงบเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๘ เวลา ๑๑.๕๐ น. ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ สิริรวมอายุ ๙๓ ปี ๔ เดือน พรรษา ๗๒

• #โอวาทธรรมคำสอน
"...พุทโธ พุทโธ เป็นยอดกรรมฐาน การภาวนาพุทโธ ๆ ในใจบ่อย ทำให้ใจเย็นสบาย เพ่งจนพุทโธไม่ถอย เพ่งลงไปจนหายใจเกิดเป็นความสงบ รวมกันเป็นหนึ่งลงไป พุทโธก็คือ เป็นผู้ที่ตื่นแล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว ภาวนาพุทโธไปแล้วจิตใจก็เบิกบานผ่องใส ตื่นที่อาตมาว่านี้ ก็คือการตื่นจากความหลง ไม่หลงใหลไม่เชื่ออะไรที่งมงาย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เชื่ออะไรงมงาย และเราเกิดมาในชาตินี้เป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในโลก สมควรที่จะลงมือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ โดยความไม่ประมาท กิเลสบาปกรรม จะได้น้อยเบาบางจากดวงจิตของตน การที่คนเราจะพ้นทุกข์ไปไม่ได้ก็เพราะไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง 

ทุกวันนี้คนที่เขามีปัญญา ไม่หลงเพลิดเพลินในความสุขที่ไม่ยั่งยืน เขาก็ตั้งชมรมแสวงบุญกัน ขึ้นเขาก็นัดแนะกัน วันนั้นวันนี้ ร่วมกันไปบำเพ็ญบุญกุศลที่โน้นที่นี้ เขาไปกันแล้วเขาก็ได้ไหว้พระ สวดมนต์ได้ฟังธรรม ได้กราบ ได้ไหว้ ได้สมาคมกับพระสงฆ์องค์เจ้าผู้มีศีลมีธรรม ก็ทำให้จิตใจเบิกบานใจผ่องใส เรียกว่าเป็นผู้รื่นเริงอยู่ด้วยบุญด้วยกุศล ไม่ได้รื่นเริงอยู่ด้วยกิเลสตัณหา ความรื่นเริงอยู่ด้วยบุญกุศลแบบนี้ นับว่าผู้มีปัญญาทั้งหลาย ได้กระทำบำเพ็ญมาทุกยุคทุกสมัย และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่อุบัติบังเกิดมาในโลก ก็ทรงสั่งสอนให้คนทั้งหลายนั้น รื่นเริงบันเทิงอยู่ด้วยกุศลคุณงามความดีที่ตนกระทำบำเพ็ญมา อย่าปล่อยใจให้เพลินไปในอำนาจของกิเลสตัณหาบาปอธรรมต่าง ๆ...” โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

“..สิ่งทั้งปวงในโลกนี้มิใช่ว่าจะอำนวยแต่ความทุกข์เท่านั้น บางทีก็อำนวยความสุขให้เหมือนกัน ดังนั้นคนจึงติดมัน แต่บรรดานักปราชญ์ผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านพิจารณาเห็นว่า มันเป็นความสุขชั่วคราวไม่ยั่งยืน ถ้าพิจารณาโดยสรุปแล้ว ก็เป็นทุกข์นั่นแหละ มากกว่าความสุข อันความสุขที่ว่านี้ มันเป็นเพียงเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่เป็นสุขยั่งยืนแต่อย่างใด เพราะคนเราเกิดมาแล้วที่สุดก็ต้องตาย ร่างกายนี้เมื่อจิตละไปแล้ว ก็ต้องแตกสลายออกจากกัน ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย..”
-------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณที่มาจาก FB pageท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco