ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่สาม อกิญฺจโน วัดป่าไตรวิเวก ต.นาบัว อ.เมือง จ.สุรินทร์
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่สาม อกิญจโน ๏
วันนี้วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพหลวงปู่สาม อกิญฺจโน วัดป่าไตรวิเวก อ.เมือง จ.สุรินทร์ รำลึก ๓๓ ปี อาจาริยบูชาคุณ "พระอริยเจ้าผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร" หลวงปู่สาม ท่านเป็นผู้ไม่ติดในสถานที่ ท่องเที่ยวภาวนาตามป่าเขาไปเรื่อยทั่วทุกภาคของประเทศไทย ท่านจำพรรษามากแห่งแทบจะไม่ซ้ำกัน เป็นหนึ่งในกองทัพธรรมยุคแรกที่ธุดงค์เผยแผ่ธรรมจนได้รับคำชมจากท่านพระอาจารย์มั่นว่า “เป็นผู้เจริญด้วยธุดงควัตร จำพรรษาได้มากแห่ง และเป็นผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร” ท่านมีสหธรรมิกคือ พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ และท่านพ่อลี ธมฺมธโร
“..สมัยโน้น พระธุดงค์ก็ลำบาก ชาวบ้านก็ลำบาก เพราะไม่เจริญอย่างกับปัจจุบันนี้นะ แต่มีความเพียรอย่างแรงกล้า มุ่งอรรถมุ่งธรรมกันจริง ๆ มาสมัยนี้ หละหลวม ไม่เอาดีเลย สอนแล้วก็ลืม ลืมปฏิบัติกัน..”
โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่สาม อกิญฺจโน
• #อัตโนประวัติ
“หลวงปู่สาม อกิญฺจโน” อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าไตรวิเวก ต.นาบัว อ.เมือง จ.สุรินทร์ พระป่าปฏิบัติศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, หลวงปู่ดูลย์ อตุโล และหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม หลวงปู่สาม มีนามเดิมว่า สาม เกษแก้วสี เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ตรงกับเดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๔๓ ณ บ้านนาสาม ต.นาบัว อ.เมือง จ.สุรินทร์ โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายปวม และนางถึง เกษแก้วสี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๑๑ คน ท่านเป็นบุตรคนโต (หัวปี)
• #การบรรพชาและอุปสมบท
ชีวิตในวัยเด็กนั้นสุดแสนยากลำบาก เพราะท่านต้องทำงานทุกอย่าง ลักษณะคล้ายผู้หญิงด้วยว่า น้องๆ ของท่านเป็นผู้ชายเสียหมด ไม่มีผู้หญิงเลย เมื่ออายุ ๑๙ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร สายมหานิกาย ณ วัดบ้านนาสาม อันเป็นวัดใกล้บ้านเกิดของท่าน จนกระทั่งอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูวิมลศีลพรต เป็นพระอุปัชฌาย์
• #พระป่าศิษย์_หลวงปู่มั่น
ภายหลังอุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาพระธรรมวินัย ต่อมาใน พ.ศ.๒๔๖๗ เมื่อทราบข่าวและกิตติศัพท์ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่าได้กลับจากธุดงค์และจำพรรษาที่วัดป่าหนองเสม็ด ต.เฉนียง อ.เมือง จ.สุรินทร์ จึงได้ไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน หลวงปู่ดูลย์ เห็นถึงความตั้งใจและความพากเพียรที่จะเอาดีทางด้านประพฤติปฏิบัติของศิษย์ จึงแนะนำให้ไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่จังหวัดสกลนคร
ท่านจึงกราบลาออกเดินธุดงค์รอนแรมไปท่ามกลางป่าเขาเป็นเวลาหลายเดือน กว่าจะได้เข้านมัสการหลวงปู่มั่น แล้วท่านก็ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่มั่น ๓ เดือน ภายหลังจากสามเดือนผ่านไป หลวงปู่มั่นได้แนะนำให้หลวงปู่สาม ไปพบกับหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม เพื่อเป็นพระผู้ฝึกฝนอบรมสั่งสอนต่อไป
ในปีที่มาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่สิงห์นั้น ท่านได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจอยู่กับการปฏิบัติจนต้องล้มป่วยอย่างหนักเกือบเสีย ชีวิต แต่ด้วยจิตใจเข้มแข็งแรงกล้าในธรรมะของพระศาสดาเจ้า พร้อมกับได้เห็นความจริงที่เกิดขึ้นภายในใจ ท่านไม่ยอมละลดต่อสู้กับโรคภัยนั้น ชนิดผอมหนังหุ้มกระดูก ต้องอาศัยกำลังใจ และไม้เท้ายันตัวเดิน ท่านเคยเล่าไว้ตอนหนึ่งว่า “เรานักต่อสู้ลูกพระพุทธเจ้า ถ้ามันยังไม่ตายยังหายใจอยู่ แม้ขาเดินไม่ได้เอาไม้เท่าเดินก็ต้องยอมตายกับความดีงามนะพวกเธอ”
ครั้นได้พบหลวงปู่มั่นและหลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ทั้งสองได้รับตัวท่านไว้เป็นศิษย์ ให้การอบรมสั่งสอนแล้ว ท่านจึงกราบลาไปจำพรรษาที่จังหวัดสุรินทร์
• #ญัตติเป็นธรรมยุต
หลวงปู่สาม แต่เดิมท่านบวชพระเป็นฝ่ายมหานิกาย เพราะในจังหวัดสุรินทร์สมัยนั้นยังไม่มีพระฝ่ายธรรมยุตเลย ต่อมา หลวงปู่สามได้ย้อนกลับไปพบหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม เพื่อญัตติเป็นสายธรรมยุต ณ วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยมีพระครูจิตวิโส เป็นพระอุปัชฌาย์, หลวงปู่สิงห์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์มหามึน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “อกิญฺจโน”
• #ท่องถิ่นธรรมพระกัมมัฏฐาน
หลวงปู่สาม เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านไม่ค่อยยอมอยู่กับที่ จะอยู่ก็เพียงเข้าพรรษา หรือขออุบายธรรมจากครูบาอาจารย์ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น ท่านก็จะเดินธุดงค์ต่อไปตั้งแต่เหนือจดใต้จากภาคกลางจดภาคตะวันออก ภาคอีสานทั้งหมด ท่านเป็นพระนักธุดงค์กรรมฐานที่มีความมานะอดทนเป็นพิเศษ
ท่านถือคติที่ว่า “ท่านเป็นศิษย์ของพระตถาคต แม้ยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด” หลวงปู่สิงห์ได้ชี้แนะให้ท่านไปธุดงค์ฝึกจิตกัมมัฏฐาน เทศนาสั่งสอนญาติโยม ร่วมกับพระอาจารย์ลี ธัมมธโร ในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี
เมื่อถึงช่วงออกพรรษา หลวงปู่สาม จะเสาะหาสถานที่วิเวกตามป่าเขา เพื่อประกอบความเพียร เมื่อเดินทางกลับทุกครั้ง หลวงปู่สามจะไปพบหลวงปู่ดูลย์ ที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ เพื่อช่วยบูรณะสร้างอุโบสถ และได้ไปธุดงค์ในภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ระยอง เป็นต้น
ตั้งแต่สมัยเป็นพระภิกษุหนุ่มจนเข้าสู่วัยชรา ท่านได้ต่อสู้ชีวิตทุ่มเทกับการปฏิบัติมาอย่างโชกโชน ท่านเพ่งเพียรภาวนาอยู่เป็นนิจ ครั้นมาปรารภกับตนเองว่า “บัดนี้กำลังกายของเราก็อ่อนแอลงไปมากแล้ว น่าจะกลับมาอยู่ถิ่นเดิม คือในจังหวัดสุรินทร์ นอกจากนี้แล้วก็ยังจะได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ คือหลวงปู่ดูลย์ อีกทั้งมารดาของท่านก็ได้ชราภาพมากแล้ว เป็นโอกาสอันดีที่จะได้นำธรรมะที่ท่านได้รับมาทั้งหมดเผยแผ่แก่บรรดาสาธุชน ต่อไปอีกด้วย”
หลวงปู่สาม จึงได้เดินทางกลับจังหวัดสุรินทร์ตั้งแต่บัดนั้น ท่านเคยเล่าเหตุการณ์ของพระธุดงค์สมัยก่อนนั้นว่า “สมัยโน้นพระธุดงค์ก็ลำบาก ชาวบ้านก็ลำบาก เพราะไม่เจริญอย่างปัจจุบันนี้นะ แต่มีความเพียรแรงกล้า มุ่งอรรถมุ่งธรรมกันจริงๆ มาสมัยนี้หละหลวมไม่เอาดีเลย สอนแล้วก็ลืม…ลืมปฏิบัติกัน” ผลแห่งความเพียรปฏิบัติธรรม ท่านได้ฝึกจิตให้แกร่งกล้า ถึงขั้นฌานสมาบัติ อันเป็นรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔
ต่อมา พระอาจารย์ลี ธัมมธโร แจ้งให้ทราบว่า หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่จังหวัดสกลนคร จึงพากันเดินทางไปขอคำปรึกษาข้อปฏิบัติธรรมที่ติดขัด หลวงปู่มั่นแนะให้ไปฝึกกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่วัดหินหมากเป้ง ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
เมื่อทราบว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้ถึงแก่มรณภาพลงที่จังหวัดสกลนคร หลวงปู่เทสก์, หลวงปู่ดูลย์, หลวงปู่แหวน, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่สาม, พระอาจารย์ลี, พระอาจารย์อ่อน, พระอาจารย์วัน และพระอาจารย์จวน ไปร่วมจัดงานบุญให้หลวงปู่มั่น ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้เจริญด้วยธุดงควัตรสัมมาปฏิบัติ กตัญญูกตเวทีต่อพระบูรพาจารย์เป็นที่ตั้ง เมื่อท่านพระอาจารย์มั่น เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านนอนเฝ้ารักษาศพท่านพระอาจารย์มั่นตลอด ๓ เดือน จนถึงพิธีประชุมเพลิง
• #เผยแผ่แนวทางกัมมัฏฐานในภาคใต้
วันหนึ่ง หลวงปู่สามได้รับจดหมายจากหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ส่งจากมาจากจังหวัดภูเก็ต ให้ไปช่วยเผยแผ่แนวทางกัมมัฏฐานให้พระภิกษุ-สามเณร ในภาคใต้ หลวงปู่สาม ท่านจึงเป็นกำลังใน “กองทัพธรรม” ที่สำคัญองค์หนึ่ง กล่าวคือ ท่านเดินทางร่วมไปปูพื้นฐานทางธรรมกับหลวงปู่เทสก์ และคณาจารย์อีกหลายสิบองค์ทางภาคใต้ การเผยแผ่ในครั้งนั้น แม้จะมีอุปสรรคอย่างมากมาย แต่ด้วยกำลังใจอันแน่วแน่มั่นคงของพระธุดงค์กรรมฐาน จึงสามารถฟันฝ่าอุปสรรคนั้นๆ ได้สำเร็จผลอย่างงดงาม เป็นที่ยอมรับในหมู่ชนชาวภาคใต้เป็นอันมาก
คติธรรมที่หลวงปู่เทสก์ปรารภแก่คณะผู้ออกเผยแผ่ธรรมยึดมั่นในจิตใจ คือ “เปียกได้…ไหม้เสีย” หลวงปู่สาม ได้นำมาสอนอบรมบรรดาศิษย์ในกาลต่อมา เป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติธรรม ควรน้อมเข้ามาพิจารณาคำนี้ให้จงหนัก หลวงปู่สามท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนำธรรมะออกเผยแผ่สู่ ประชาชนด้วยเมตตาธรรม หลวงปู่สาม เผยแผ่ธรรมที่ภาคใต้ เป็นเวลา ๕ ปี จึงเดินทางกลับจังหวัดสุรินทร์ ก่อนย้อนกลับไปที่จังหวัดภูเก็ต และที่ภาคตะวันออก รวมระยะเวลา ๒๐ ปี ในการแสวงบุญธุดงค์ทำให้หลวงปู่สาม บังเกิดความเพียร ลดละกิเลส คือ ความอยาก ความรัก และความชัง หากปล่อยวางได้จนหมดสิ้นแล้ว
ภายหลังได้ทราบข่าวว่า หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ได้มรณภาพลง ณ วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา จึงไปช่วยงานบุญพระราชทานเพลิงศพ ก่อนเดินทางไปธุดงค์ที่จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ.๒๕๑๐ ได้มีญาติโยมนิมนต์หลวงปู่สาม ไปพำนักจำพรรษาที่บ้านขนาดปริ่ง ต.เชื้อเพลิง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ แต่ได้มีหน่วยงานราชการ ชี้แจงว่า บริเวณสำนักสงฆ์เป็นพื้นที่ป่าทำเลเลี้ยงสัตว์ พ.ศ.๒๕๑๒ หลวงปู่สาม ได้ย้ายไปอยู่ในป่าละเมาะ บ้านตระงอน กิโลเมตรที่ ๑๑ ถนนสุรินทร์-ปราสาท ต.นาบัว ไม่วายโดนร้องอีก แต่ถึงจะเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว ก็ยังถูกลอบทำร้ายจากมนุษย์ใจบาป
ในเรื่องนี้ท่านกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย..มันเป็นกรรมนะต้องใช้กรรมเวร ยุติธรรมดีแล้ว แม้พระพุทธเจ้าของเราลูกเห็นไหม ? พระองค์ยังต้องประสบในเรื่องเช่นนี้นะ ฉะนั้น จงปล่อยไปตามกรรมที่ทำไว้แต่หนหลัง ปัจจุบันทำจิตใจของตนเองให้บริสุทธิ์ก็พอแล้ว ทำอย่างไรหนอ จึงจะพ้นทุกข์นี้ไปได้เท่านั้น”
• #ฌานมหัศจรรย์
โดยปกติอันเป็นอุปนิสัยแท้และดั้งเดิมของหลวงปู่สาม อกิญฺจโน ท่านเป็นผู้พูดน้อย สงบเสงี่ยมมีศีลาจารวัตรอันงดงามในความเป็นสมณะ บอกถึงความเป็นพระผู้ปรารถนาวิมุตติสุข
จากคำบอกเล่าของศิษย์ผู้ปรนนิบัติรับใช้อย่างใกล้ชิดได้เล่าต่อ ๆ กันมาว่า ...
ภายในกุฏิของหลวงปู่สาม ยามค่ำคืน จะมองเห็นแสงสว่าง เรื่อเรื่องเป็นดวง ๆ
ดูแต่ไกลประหนึ่งว่าท่านได้จุดประทีปดวงน้อยตามไว้รอบห้อง แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ปรากฏไม่มี เทียนสักเล่ม
แต่แสงเรื่อเรื่องนั้นได้แตกสว่างอยู่ในอากาศ ระบายเป็นจุดสว่างอยู่ทั่วไปภายในกุฏิของท่าน
เมื่อมีผู้เรียนถามหลวงปู่สาม ว่า “เป็นแสงอะไร?”
ท่านได้กรุณาตอบว่า “เป็นแสงเรื่อเรื่องของเทพยดาต่าง ๆ ที่มีความผูกพันกับสถานที่นั้น เขามาร่วมอนุโมทนาบุญ
และอีกเรื่องนึง สมัยที่หลวงปู่สามท่านเดินธุดงค์ท่องเที่ยวขึ้นไปทางภาคเหนือ ไปพำนักอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ จากนั้นก็ย้ายไปพำนักอยู่ในป่า
คืนวันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่สาม กำลังนั่งบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนาอยู่ในกระต๊อบหลังเล็ก ซึ่งโยมคนหนึ่งได้มาปลูกไว้ให้ท่านอาศัยพำนัก
ขณะที่จิตของท่านดิ่งลงสู่สมาธิในฌานสมาบัติอยู่นั้น มีชาวบ้านซึ่งไม่พอใจในการแสดงธรรมของท่านให้ประชาชนเลิกนับถือผีสาง เลิกงมงายในสิ่งเหลวไหล
ชาวบ้านผู้นี้ได้สูญเสียประโยชน์จากการหลอกลวงผู้อื่นให้นับถือผี ได้ย่องเข้ามาในกระต๊อบ ของหลวงปู่สาม
แล้วเอาก้อนหินใหญ่ทุ่มลงบนศีรษะของท่าน จนศีรษะแตกเลือดสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้ง พื้นและข้างฝากระต๊อบ
แต่หลวงปู่สามก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงทรงอยู่ในฌานสมาบัติ
ทำให้ชายผู้ลอบมาทำร้ายคิดว่า หลวงปู่สามคงจะมรณภาพไปแล้ว ชายผู้นั้นจึงพังฝากระต๊อบ ให้ทับถมลงไปบนร่างของหลวงปู่สาม แล้วจึงหลบหนีไป
ต่อมาครั้นเมื่อหลวงปู่สาม ถอนจิตออกจากฌานสมาธิแล้ว ท่านมีความแปลกใจว่า
ทำไมกระต๊อบจึงพังทลายลงมา
และรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ทั่วนี้มาจากไหน ?
ทำไมเลือดจึงมากมายเช่นนี้”
ครั้นเมื่อได้พิจารณาร่างกายของท่านเอง จึงได้รู้ว่าเลือดเหล่านั้น ไหลออกจากบาดแผลในร่างกายของท่านนั่นเอง ฟันในปากก็โยกคลอน ภายในปากก็แตก แต่ที่ใบหน้ากลับไม่ปรากฏบาดแผล
ท่านจึงนึกได้ว่า ต้องมีผู้ลอบมาทำร้ายในขณะที่ท่านกำลังอยู่ในฌานสมาธิ ทำให้ท่านรู้สึกขบขัน ไม่ได้มีความโกรธเคืองแต่ประการใด
จากนั้นหลวงปู่สามก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านได้เห็นร่างกายและจีวรของท่าน ชุ่มโชกไปด้วยเลือด จึงได้สอบถามท่าน พอรู้เรื่องต่างก็มีความโกรธแค้นมาก
จึงสืบสาวราวเรื่องก็ได้ทราบว่า มีบุคคลบางจำพวกโกรธแค้นหลวงปู่สาม ได้จ้างชาวบ้านผู้นั้น ให้มาลอบทำร้ายท่าน
ต่อมาภายหลัง ชายคนร้ายนั้น เมื่อทราบว่า หลวงปู่สาม ไม่มรณภาพ ก็มีความตกใจกลัวเป็นอันมาก
ได้เข้ามากราบสารภาพผิดกับหลวงปู่สาม หลวงปู่สามก็ได้ให้อโหสิไม่โกรธเคืองอาฆาตผูกพยาบาทแต่ประการใด
แต่นั่นแหละเพราะบาปกรรมที่ทำร้ายพระผู้ทรงศีลพระวินัยอันสะอาดบริสุทธิ์ขณะทรงฌาน
บาปนั้นได้สนองคนร้ายในเวลาต่อมาด้วยการประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก เรียกว่า "กรรมทันตาเห็น"
• #สร้างวัดป่าไตรวิเวก
เวลาไม่นาน ได้มีคณะญาติโยมมีจิตศรัทธาถวายที่ดิน กิโลเมตรที่ ๑๒ สร้างเป็นสำนักสงฆ์เล็ก ๆ เพื่อพำนักปฏิบัติธรรม กลายเป็นที่มาของการจัดตั้งวัดป่าไตรวิเวก
• #ปฏิปทา
“ปฏิปทาของหลวงปู่สาม อกิญฺจโน นั้น สาธุชนที่เคยเดินทางไปกราบนมัสการคงจะตระหนักดีว่า มีความคล้ายคลึงกับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มากทีเดียว ท่านมากไปด้วยขันติ โสรัจจะ อดทน สงบเงียบ เยือกเย็น ชีวิตเพศแห่งสมณะหลวงปู่ไม่เคยว่างเว้นในการเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาและใน จังหวัดต่าง ๆ จิตของท่านเต็มไปด้วยเมตตา ไม่เคยขัดศรัทธาคณะศรัทธาญาติโยมใคร ๆ เลย”
" .. ธรรมะของจริงอยู่กับบุคคลทุกคน
เว้นไว้แต่คนไม่ทำ ถ้าทำต้องมีทุกคน
เพราะธรรมะเป็นของจริง
ต้องทำจริงจึงจะเห็นธรรมะของจริง
การกระทำต้องทำจิตใจให้สงบ
ใจจะสงบได้ ก็ต้องอาศัยการพยายาม
ทำจิตใจให้มันดี ทำจิตใจให้พอใจในใจ
เพราะธรรมะเป็นของละเอียดลึกซึ้ง
ของจริงมันมีทุก ๆ คน
ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
ก็มีอยู่ในคนทุกคน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ก็มีอยู่ทุกคน แต่เราทำไม่ถึง
ไม่ถึงพระพุทธ ไม่ถึงพระธรรม ไม่ถึงพระสงฆ์ .."
โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่สาม อกิญฺจโน
• #การมรณภาพ
หลวงปู่สาม อกิญฺจโน ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย บ่อยครั้งเกิดอาการอาพาธ ต้องเข้า-ออกรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลท่านเข้าสู่นิพพานที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔ เวลา ๑๙.๓๐ น. สิริอายุได้ ๙๑ ปี ๔ เดือน ๑๙ วัน ๖๒ พรรษา
“..การภาวนาก็เป็นบุญเป็นกุศลมากมาย ถ้าทำได้ทุก ๆ วัน ทำได้เสมอไป ก็เป็นกุศลทุกวัน ให้คิดดู ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จะมาถึงวันไหนเราก็ไม่รู้ ไม่ว่าแต่คนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่มก็ตายได้ ฝึกหัดทำทุกๆวัน มันตายไปก็ยังได้ขึ้นสวรรค์ การกระทำจิตใจนี้เป็นของดี เป็นยอดของทาน ฝึกหัดอริยทรัพย์ภายใน อริยทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายในนั่นเป็นอริยะ ฝึกหัดดัดแปลงจิตใจให้มันดี มันบริสุทธิ์ หมดมลทิน..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่สาม อกิญฺจโน "พระอริยเจ้าผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร"
คัดลอกจากหนังสือ อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่สาม อกิญฺจโน ; พิมพ์เมื่อ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาบุญที่มา FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการรับชม
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น