ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ๏
วันนี้วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นวันครบรอบ ๑๓๗ ปี ชาตกาล หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ พระอริยเจ้าผู้มีอภิญญาแก่กล้าแห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ องค์ท่านออกธุดงค์อยู่รุกขมูลตามป่าเขาโดยมีหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เป็นสหายธรรม ท่านทั้งสองได้ออกวิเวกเพื่อแสวงหาโมกขธรรมจากทางภาคอีสานขึ้นจนไปถึงภาคเหนือ ข้ามเขาป่ารกชัฏอันทุรกันดารไปยังประเทศพม่า และธุดงค์ต่อไปจนสุดถึงประเทศอินเดีย ด้วยเท้าเปล่า
เมื่ออายุ ๓๑ ปี หลวงปู่แหวน ได้ธุดงค์รอนแรมไปฝากตัวกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบูรพาจารย์ใหญ่ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน องค์ท่านได้กล่าวสอนสั้นๆว่า ต่อไปนี้ให้ภาวนา ส่วนความรู้ที่เรียนมาให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน" วันหนึ่งในปี พ.ศ.๒๕๑๒ หลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งอยู่ที่ถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี (ปัจจุบันคือจ.หนองบัวลำภู) ได้ปรารภเป็นเชิงรำพึงอนุโมทนากับสานุศิษย์ว่า "เมื่อคืนได้นิมิตเห็นท่านแหวนจิตใสเหมือนแก้ว สว่างไสวทั้งองค์ ท่านแหวนได้อรหัตผลแล้วหนอ" หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๘ สิริอายุรวม ๙๘ ปี พรรษาธรรมยุติกนิกาย ๕๘ พรรษา จึงขอน้อมนำชีวประวัติและปฏิปทา มาเป็นสังฆานุสติ และมรณานุสติครับ
• ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เดิมชื่อ ญาณ หรือ ยาน รามศิริ เกิดวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๓๐ วันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำ ปีกุน ณ บ้านนาโป่งบ้างก็ว่า บ้านหนองบอน ตำบลหนองใน (ปัจจุบันเป็น ตำบลนาโป่ง) อำเภอเมือง จังหวัดเลย ท่านเกิดในตระกูลช่างตีเหล็ก เป็นบุตรคนที่ ๒ (คนสุดท้อง) ของ นายใส หรือ สาย กับ นางแก้ว รามศิริ มีพี่สาวร่วมท้องเดียวกัน ๑ คน เมื่อหลวงปู่แหวน อายุประมาณ ๕ ขวบ พอจำความได้บ้างว่า ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิต ได้เรียกไปสั่งเสียว่า "ลูกเอ๋ย แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใด ๆ ในโลกนี้ จะเป็นกี่ล้านกี่โกฏิก็ตาม แม่ก็ไม่ยินดี และแม่จะยินดีมาก ถ้าลูกจะบวชให้แม่จนตายในผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีเมียนะลูกนะ" หลังจากนั้นมารดาได้ถึงแก่กรรมลง ท่านจึงอยู่ในความดูแลของตากับยายขุนแก้ว
อนึ่ง ยายของหลวงปู่แหวน ได้ฝันว่า เห็นหลานชายไปนั่งไปนอนอยู่ในดงขมิ้นจนเนื้อตัวเหลืองอร่ามน่าชม จึงได้มาร้องขอให้บวชเช่นเดียวกัน ท่านจึงรับปาก แล้วบวชพร้อมกับหลานยายอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และมีศักดิ์เป็นน้า ยายได้นำหลานทั้ง ๒ คน ไปถวายตัวต่อพระอุปัชฌาย์ที่ วัดโพธิ์ชัย (มหานิกาย) ในหมู่บ้านนาโป่ง เพื่อฝึกหัดขานนาค ทำการบรรพชาเป็นสามเณรต่อไป ด้วยคำพูดของแม่ในครั้งนั้น เป็นเหมือนพรสวรรค์คอยเตือนสติอยู่ตลอดเวลา มันเป็นคำสั่งที่ก้องอยู่ในความทรงจำมิรู้เลือน จนในที่สุดท่านก็ได้บวชตามความประสงค์ของมารดาและใช้ชีวิตอยู่ในผ้าเหลืองจนตลอดอายุขัย
หลวงปู่แหวน ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๙ มีอายุได้ ๙ ปี ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาโป่ง ตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย มีพระอาจารย์คำมา เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระอาจารย์อ้วน เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย เป็นพระพี่เลี้ยง เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น แหวน อยู่จำพรรษาที่วัดโพธิ์ชัยนั่นเอง พอเข้าพรรษาได้ประมาณ ๒ เดือน สามเณรผู้มีศักดิ์เป็นน้าที่บวชพร้อมกันเกิดอาพาธหนักถึงแก่มรณภาพไป ทำให้ท่านสะเทือนใจมาก เนื่องจาก วัดโพธิ์ชัย ไม่มีการศึกษาเล่าเรียน เพราะขาดครูสอน ท่านจึงอยู่ตามสบาย คือ สวดมนต์ไหว้พระบ้าง เล่นบ้างตามประสาเด็ก ต่อมาได้ถูกส่งไปเรียนมูลกัจจายน์ ที่ วัดสร้างก่อ อำเภอหัวสะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในสมัยนั้น จังหวัดอุบลราชธานีมีสำนักเรียนที่มีชื่อเสียง มีครูอาจารย์สอนกันเป็นหลักเป็นฐานหลายแห่งเช่น สำนักเรียนบ้านไผ่ใหญ่ บ้านเค็งใหญ่ บ้านหนองหลัก บ้านสร้างก่อทั่วอีสาน ๑๕ จังหวัด (ในสมัยนั้น) ใครต้องการศึกษาหาความรู้ ต้องมุ่งหน้าไปเรียนมูลกัจจายน์ ตามสำนักดังกล่าว ผู้เรียนจบหลักสูตรได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ เพราะเป็นหลักสูตรที่เรียนยาก มีผู้เรียนจบกันน้อยมาก ภายหลัง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงมาปรับปรุงเปลียนแปลงหลักสูตรใหม่ดังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้การเรียนมูลกัจจายน์ถูกลืมเลือน
ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนที่สำนักนี้หลายปี จนอายุครบบวชพระ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุฝ่ายมหานิกายที่ วัดสร้างก่อนอก อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๕๑ ในระยะที่เรียนหนังสืออยู่นั้น ท่านเกิดความว้าวุ่นใจเพราะ ท่านอาจารย์อ้อน อาจารย์เอี่ยม ครูผู้สอนหนังสือเกิดอาพาธด้วยโรคนอนไม่หลับ ท่านจึงแนะนำให้ลาสิกขาบทเผื่อโรคอาจจะหายได้ หายแล้วหากยังอาลัยในสมณเพศ เมื่อได้โอกาสก็ให้กลับมาบวชใหม่อีก ท่านอาจารย์ทำตาม ปรากฏว่าโรคหายดี แต่ต่อมาพระผู้เป็นอาจารย์สอนหนังสือ คือ อาจารย์ชม อาจารย์ชาลี และท่านอื่น ๆ ลาสิกขาไปมีครอบครัวกันหมดสำนักเรียนจึงต้องหยุดชะงักลง
ในที่สุด ท่านจึงเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า บรรดาครูอาจารย์เหล่านั้น สึกออกไปล้วนเพราะอำนาจของกามทั้งสิ้น จึงระลึกนึกถึงคำเตือนของแม่และยาย และเกิดความคิดขึ้นมาว่าการออกปฏิบัติเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้บวชอยู่ได้ตลอดชีวิตเหมือนกับครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ได้ออกไปปฏิบัติอยู่กันตามป่าเขาไม่อาลัยอาวรณ์อยู่กับหมู่คณะจึงได้ตัดสินใจไปหาอาจารย์ที่เมืองสกลนคร ท่านได้ตั้งสัจจาธิษฐาน ขออุทิศชีวิตพรหมจรรย์แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หลังจากตั้งจิตอธิษฐานแล้ว ท่านมีความรู้สึกปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ อยู่มา ๒-๓ วัน โยมอุปัฏฐาก ได้มาบอกว่า พระอาจารย์จวง วัดธาตุเทิง อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ไปกราบ ท่านญาคูมั่น พึ่งกลับมา ท่านจึงได้ไปนมัสการพระอาจารย์จวง เพื่อขอทราบที่อยู่ของ หลวงปู่มั่น ด้วยรู้สึกศรัทธาในกิตติศัพท์ความเก่งกล้าสามารถของหลวงปู่มั่นยิ่งนัก
จากนั้น ท่านก็ได้ออกธุดงค์มุ่งสู่สำนักของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านออกเดินทางบุกป่าฝ่าหนามไปโดยลําพังองค์เดียว ด้วยหัวใจแน่วแน่ ว่าจะต้องไปหาครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตให้พบ เป็นการเดินทางที่ยาวไกลไปองค์เดียวเป็นครั้งแรก โดยออกจากอําเภอเขื่องใน รอนแรมผ่านอําเภอม่วงสามสิบ คําเขื่อนแก้ว ยโสธร เข้าเขตจังหวัดนครพนมทางอําเภอเลิงนกทา อําเภอมุกดาหาร คําชะอี นาแก แล้วเข้าสกลนคร ติดตามเสาะหาหลวงปู่มั่น ด้วยความหวัง นับเป็นการเดินทางที่มุ่งมั่นและทรหดอดทนอย่างยิ่ง
• พบกับ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
หลวงปู่แหวน ออกธุดงค์เสาะหาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กับหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แต่ไม่พบสักที เพราะพระอาจารย์ใหญ่และศิษย์ได้จาริกธุดงค์ไปยังที่ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้พํานักปักหลักอยู่กับที่ ประกอบกับการไปมาหาสู่กันในป่าดงถิ่นห่างไกลทุรกันดารเป็นไปไม่สะดวก ทําให้ต้องคลาดกันบ่อยๆ ระหว่างออกเดินทางค้นหาพระอาจารย์ใหญ่นี้ ท่านก็ได้พบกับพระธุดงค์หนุ่มรูปหนึ่ง มาจากวัดบ้านข่า อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม
หลวงปู่แหวนกับพระธุดงค์รูปนั้น มีความประสงค์และปฏิปทาคล้ายกันและถูกอัธยาศัยกัน ซึ่งต่อมาก็เป็นพระธุดงค์สหธรรมิกองค์สําคัญในอนาคต ซึ่งก็คือ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นั่นเอง
หลวงปู่แหวน กับ หลวงปู่ตื้อ พบกันครั้งแรกที่ป่าภูพาน ขณะนั้นหลวงปู่ตื้อ จาริกธุดงค์มาจากพระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี ได้สนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความรู้กัน เป็นที่ชอบอัธยาศัยถูกใจกันเป็นอันดี
หลวงปู่ตื้อเอง ก็ใฝ่ใจปรารถนาอยากจะพบพระอาจารย์ใหญ่มั่น ให้ได้เหมือนกัน เพราะได้ยินได้ฟังกิตติศัพท์เกี่ยวกับพระอาจารย์ใหญ่มามาก แต่ก็ยังไม่ได้พบพระอาจารย์ใหญ่มั่นตามที่หวังไว้
หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ ซึ่งยังเป็นพระหนุ่มทั้งสององค์ได้ปรึกษาหารือกันว่า หากวาสนายังมีคงจะได้พบกับพระอาจารย์ใหญ่มั่น สมใจหวัง เราอย่าเร่งรัดตัวเองให้มากเลย จะธุดงค์ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ตายเสียก่อน จะต้องได้ฟังธรรมจากพระอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน
ในระหว่างนี้ เราควรจะจาริกธุดงค์ไปตามทางของเราก่อน บําเพ็ญเพียรสร้างบารมีกันไปตามแนวทางที่พระธุดงค์วางไว้ หาความรู้ด้านกรรมฐานจากป่าดงพงพีธรรมชาติรอบกายเรานี้แหละ เมื่อมีปัญหาธรรม อันใดที่เกินวิสัยสติปัญญา ก็เก็บเอาไว้คอยถามพระอาจารย์ใหญ่มั่น เมื่อมีโอกาส เมื่อปรึกษาตกลงกันได้เช่นนี้แล้ว หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ ก็พากันจาริกธุดงค์แสวงหาวิเวกบําเพ็ญสมณธรรมมุ่งหน้าข้ามแม่น้ำโขงไปทางสุวรรณเขต ฝั่งประเทศลาว
คืนแรกที่ข้ามไปฝั่งลาว หลวงปู่ทั้งสองได้เลือกเอาชายป่าแห่งหนึ่ง เป็นที่กางกลดพักบําเพ็ญภาวนา วันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางต่อไป จิตมุ่งในธรรมะอย่างเดียว จิตร่าเริงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ไม่กลัวความลําบาก ไม่กลัวตาย ธรรมชาติในป่า ล้วนให้เพลิดเพลิน มองไปทางไหนมีแต่ป่าเขา เขียวชอุ่ม ป่าไม้แน่นขนัด ล้วนเย็นตาเย็นใจ ฝากกายฝากใจไว้กับพระธรรม พร้อมที่จะพลีชีวิตเพื่อธรรมอย่างตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ไม่กลัวตาย
หลวงปู่แหวน กับหลวงปู่ตื้อ มีจริตนิสัยคล้ายกัน คือยิ่งอดอาหารขบฉัน จิตก็ยิ่งสงบ เข้าสมาธิเร็วขึ้น มั่นคงขึ้น แม้จะเป็นการทรมานตน แต่ก็ไม่รู้สึกหิวโหย หรือกังวลใดๆ จิตมีแต่ความเพลิดเพลิน ก้าวหน้าอาจหาญในธรรมภาวนา จะพิจารณาสิ่งใดก็แยบคาย ปัญญาก็ว่องไวกว้างขวาง บางครั้งไม่ได้ฉันอาหารติดต่อกัน ๗-๘ วัน ก็มี หรือแม้แต่ประสบอันตราย เช่นไปในที่ที่มีเสือ ด้วยความกลัวก็เร่งภาวนา เร่งบริกรรมพุทโธให้มากขึ้นจนลืมเรื่องเสือ จิตเข้าสู่สมาธิ พอจิตคลายตัวจากสมาธิก็ไม่พบเสือ ไม่ได้ยินเสียงร้องของมัน ทําให้เกิดความมั่นใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ช่วยให้พ้นจากเสือได้ เลยเกิดความรู้ ความเชื่อมั่นว่า พระพุทโธ คุ้มอันตรายได้จริงๆ ก็บังเกิดความกล้าหาญหายหวาดกลัวภัยอันตรายต่างๆ ได้ปัญญาว่า “ตัวเรานี้มีจริตนิสัยชอบทางให้ความกลัวบังคับแท้ๆ จิตจึงจะได้สงบนิ่ง เกิดความรอบรู้ จะพิจารณาอะไรต่อไปก็แยบคายรู้เหตุรู้ผล และเห็นโทษของความกลัวเป็นเรื่องน่าละอาย และเห็นคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างซาบซึ้งใจ
• ผจญสัตว์ประหลาด
มีเหตุการณ์น่าขนพองสยองเกล้าครั้งหนึ่ง ในเช้าวันหนึ่ง หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ ได้อาศัยบิณฑบาตที่หมู่บ้านชาวป่า มี ๔-๕ หลังคาเรือน ชาวบ้านพากันมาใส่บาตรด้วยความดีใจ เพราะนานๆ จึงจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที ชาวบ้านถามว่า พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน หลวงปู่บอกว่า จะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น แล้วจะลงไปทางสุวรรณเขต (อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร) ชาวบ้านแสดงอาการตกใจ พร้อมทั้งทัดทานว่าอย่าไปทางโน้นเลย เพราะมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่ คอยทําร้ายคนและสัตว์ที่ผ่านไปทางนั้น
หลวงปู่ทั้งสองกล่าวขอบใจในความหวังดี และบอกว่าท่านทั้งสอง ได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย แล้วท่านก็ออกเดินทางไปในทิศทางดังกล่าว
หลวงปู่ออกเดินทางโดยข้ามลําน้ำสองแห่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ป่าแถบนั้นเงียบกริบ ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆ เลย แม้แต่นกก็ไม่มี ดูผิดประหลาดมาก พอใกล้ค่ำหลวงปู่ทั้งสองก็มาถึงยอดเขาสูงที่มีลักษณะประหลาดมาก คือยอดเป็นสีดําคล้ายถูกไฟเผา รูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำคล้ายหัวคนบ้าง หัวตะโหนกช้างบ้าง แปลกไปจากเขาลูกอื่นๆ หลวงปู่ทั้งสอง เลือกปักกลดค้างคืนข้างลําธารที่มีน้ำใสไหลผ่าน อยู่ที่เชิงเขาลูกนั้น ปักกลดห่างกันประมาณ ๑๐ เมตร เมื่อสรงน้ำพอสดชื่นแล้ว ต่างองค์ก็นั่งสงบภายในกลดของตน ทั้งสององค์ตระหนักในความประหลาดของสถานที่นั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแค่นั่งสงบอยู่ ภายในกลด
ประมาณ ๕ ทุ่ม หลวงปู่แหวนก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม หลวงปู่ตื้อออกมาตามและพูดว่า “ผมรู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกตนะ”
หลวงปู่แหวน ตอบ “ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน” พูดกันแค่นี้แล้วต่างองค์ต่างก็เดินจงกรมในทางของตน
ต่อจากนั้นไม่นานก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็นดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น เสียงนั้นแหลมลึกบีบเค้นประสาทจนรู้สึกเสียวลงไป ถึงรากฟันที่เดียว
หลวงปู่ตื้อถามเบาๆ พอได้ยินว่า “ท่านแหวนได้ยินแล้วใช่ไหม”
หลวงปู่แหวน ตอบด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “ผมกําลังฟังอยู่”
เสียงกรีดร้องนั้นใกล้เข้ามาทุกที ฟังแล้วน่าขนพองสยองเกล้า ทั้งสององค์คงเดินจงกรมอยู่เงียบๆ ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ป่านั้นเงียบสงัดจริงๆ เสียงนก เสียงแมลงก็ไม่มี ครั้นแล้วเกิดพายุ ปั่นป่วนมาอย่างกระทันหัน ชนิดไม่มีเค้ามาก่อนเลย ต้นไม้โยกไหวรุนแรง ราวกับจะถอนรากออกมา อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที
พลันปรากฎร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง ตัวดํามะเมื่อม สูงราว ๗ ศอก มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์ แต่หน้าคล้ายวัวควาย ตาโปน มือสองข้างยาวลากดิน มันก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองประมาณ ๑๐ เมตรเห็นจะได้ สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น พลันพายุนั้นก็สงบลง แสดงว่ามันมีอํานาจเหนือธรรมชาติ สัตว์นั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงร้ายกาจเหมือนกลิ่นศพที่กําลังขึ้นอืด มันกระทืบเท้าสนั่นจนแผ่นดินสะเทือน
หลวงปู่แหวนเล่าในภายหลังว่า ท่านไม่รู้สึกกลัว แต่ขนลุกซู่ซ่าไปหมด เพราะไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นมาก่อน ยังไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหรือสัตว์อะไรแน่ ท่านได้กําหนดสติไม่ให้ใจคอวอกแวก ทอดสายตาไปยังสัตว์ประหลาดนั้น กําหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างนั้น
สัตว์ร่างยักษ์นั้นหยุดร้อง หยุดส่งกลิ่นเหม็น แสดงว่ารับกระแสเมตตาได้ มันค่อยๆ ทรุดร่างลงนั่งยองๆ เอามือยันพื้นไว้ ทําท่าแสดงความนอบน้อมต่อท่าน
หลวงปู่ตื้อ พูดพอได้ยินว่า “ท่านแหวนทําดีมาก” พร้อมทั้งเดินมาสมทบ แล้วพูดว่า “เขาแบกหามบาปหาบทุกข์อันมหันต์ เขามาหาเราเพื่อให้ช่วยปลดทุกข์ให้เขานะ เขาสร้างกรรมไว้มาก เมื่อตายจากมนุษย์แล้วต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่”
หลวงปู่แหวนได้กําหนดจิตถามดูก็ได้ความว่า สมัยเป็นมนุษย์ เขามีการกระทําที่มากล้นด้วยตัณหา และความโลภ คือละเมิดศีลข้อ ๒ และข้อ ๓ อยู่เสมอ จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกาย รับทุกข์อยู่ที่นั่นมากว่าร้อยปีแล้ว
ปีศาจอสุรกายนั้นดูท่าทางอ่อนลงมาก มันร้องไห้คร่ำครวญ น่าสงสาร ขอความเมตตาจากพระคุณเจ้าทั้งสองให้เขาได้พ้นทุกข์ทรมาน นั้นด้วยเถิด
หลวงปู่แหวน ได้พิจารณาเห็นว่า เขาสร้างกรรมซับซ้อนเหลือเกิน ใครจะช่วยเขาได้ พลันหลวงปู่ตื้อตอบมาในสมาธิว่า “กรรมเป็นเรื่องสลับซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ก็จริง บางที่พระผู้มีศีลบริสุทธิ์และมีบารมี เช่นท่านแหวน ก็อาจจะช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้ ลองอ่านพระคาถา หรือเทศนาธรรมให้เขาฟังดูสิ”
หลวงปู่แหวนได้กําหนดจิตว่าพระคาถา แล้วเทศนาให้เขาสํานึกบาปบุญคุณโทษ เขาค่อยๆ คลายความกังวลลง ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง
“พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าได้กําหนดจิตพิจารณาตามกระแสธรรม ของท่านแล้ว เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้าอย่างมหัศจรรย์ และข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรม คือ ชาติ ชรา มรณะ อันเป็นทุกข์เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ ทั้งหลายแล้วพระคุณเจ้า”
สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้น ก้มลงกราบหลวงปู่ทั้งสององค์ แล้วร่างนั้นก็หายไป
• ผจญผีกองกอย - ชาวป่าข่าระแด
เมื่อหลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ จาริกมาถึงเทือกเขาใหญ่ทิศใต้ แขวงเมืองคําม่วน เป็นป่าดงเย็นอึมครึม เชื่อมโยงลงไปถึงสุวรรณเขต
ในตอนเย็น พบสถานที่เหมาะจึงปักกลดพักภาวนาที่หุบเขา ใต้เงื้อมผาแห่งหนึ่ง ทั้งสององค์ปักกลดห่างกันพอสมควร คืนนั้นต่างองค์ต่างบําเพ็ญเพียรอยู่ในกลดเป็นปกติ ประมาณ ๓ ทุ่ม ในป่าดงเช่นนั้นดูเงียบสงัดวังเวง ก็ได้ยินเสียง ประหลาดคล้ายเสียงนก กลางคืนร้อง “ก๋อย ก้อย ก๋อย” เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา แล้วดังรับกันล้อมรอบไปทั่วทิศ เสียงบีบเข้ามา “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” และมีแสงคบไฟนับสิบๆ ดวงมาจากเสียงนั้น ทําให้มองเห็นตัวผู้ถือได้ถนัด ร่างนั้นเป็นมนุษย์ร่างประหลาด ขนาดเด็กอายุ ๑๓-๑๕ ปี ผอม พุงโร ผิวคล้ำ ผมเผ้ารุงรัง จมูกแบน บ่งบอกว่าเป็นคนป่าทุกคน มีอาวุธประจําตัวคือ “หน้าทึ่น” คล้ายธนูแต่เล็กกว่า ใช้คล่องตัวในป่า พวกเขาสะพายกระบอกไม้ไผ่ใส่ลูกดอกอาบยาพิษ
คนป่าร่างเล็กนั้นส่งเสียงรับกันเป็นทอดๆ โอบล้อมกลดธุดงค์เข้ามา พอได้ระยะก็พากันยกหน้าทึ่นเล็งเข้ามายังกลดทั้งสอง
หลวงปู่ตื้อร้องบอกพอได้ยินว่า “ท่านแหวนระวัง” แล้วทั้งสององค์ ก็กําหนดจิตหลับตาเข้าฌานทันที เป็นไปโดยอัตโนมัติ ปรากฏว่าลูกดอก อาบยาพิษที่ระดมยิงมานั้นตกร่วงพรูห่างจากกลดทั้งสองเป็นวา เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง
พวกชาวป่าต่างแปลกใจ ร้อง “ก๋อย ก๋อย ก๋อย” ดังกระหึ่ม แล้วระดมยิงลูกดอกอีก ๒-๓ รอบ ก็ปรากฏผลเช่นเดิม คือลูกดอกตกลงดิน ก่อนจะไปถึงกลด ทําเอาพวกเขาตกใจกลัว ร้อง “ก๋อย กุ๋ย กุ๋ย” แล้วต่างก็วิ่งหนีหายไปในความมืด
เมื่อคนป่าหนีกลับไปหมดแล้ว หลวงปู่ทั้งสองจึงได้ออกมานอกกลด หลวงปู่ตื้อ ถามว่า “เป็นไงท่านแหวน ตับไตไส้พุงของท่าน ยังดีอยู่หรือ?”
หลวงปู่แหวน ตอบไปว่า “ผมนั่งรออยู่ในกลด ให้พวกเขาเอาตับไตไส้พุงผมไปกิน ทําไมมันไม่เอาก็ไม่รู้”
ทั้งสององค์ได้เดินจงกรมไปจนดึก แล้วเข้าทําสมาธิต่อภายในกลด ไปจนสว่าง
ตอนเช้าพวกคนป่ากลุ่มนั้นเข้ามาด้อมๆ มองๆ ด้วยความเกรงกลัว หลวงปู่แสดงท่าให้พวกเขาเข้ามา ต่างค่อยๆ เข้ามาด้วยเนื้อตัวสั่นเทา มาหมอบนิ่งเอาหัวซุกดินคล้ายสํานึกผิด และขอขมา
พวกเขาเป็นพวกข่าระแด เป็นคนป่ากลุ่มหนึ่ง ชอบล่ามนุษย์ เผ่าอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามา แล้วเอาเนื้อแบ่งกันกิน
พวกข่าระแด ได้นิมนต์หลวงปู่ทั้งสองไปยังที่พักของพวกเขา จัดอาหารป่ามาถวาย ก็มีเนื้อย่าง ๒ ก้อน ได้ความว่าเป็นเนื้อของคนแก่ ซึ่งยอมสละชีวิตของตนเองให้เป็นอาหารของลูกหลาน
หลวงปู่ อยู่โปรดพวกชาวป่าหลายวัน ทรมานและสอนพวกเขา ให้เลิกการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน เมื่อเห็นว่าพวกเขาเชื่ออย่างจริงใจแล้ว ท่านทั้งสองก็ออกเดินทางต่อไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ของพวกเขายิ่งนัก
• ธุดงค์ในป่าดงพงไพร
หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ ได้อําลาจากพวกชาวป่าข่าระแดในเวลาต่อมา ท่ามกลางเสียงร่ำไห้อาลัยอาวรณ์จากพวกเขา ท่านได้ธุดงค์มาทางสุวรรณเขต แสวงหาความวิเวกตามป่าเขาลําเนาไพร
ป่าดงพงไพรเป็นสถานที่กําจัดความเกียจคร้านและความกลัวต่างๆ ได้ดี การอยู่ป่าชัฏเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายและภัยอันตรายต่างๆ พระธุดงค์จึงต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา มีสติควบคุมกายและใจไม่ให้ประมาท สัตว์ป่าที่เป็นอันตราย เป็นเครื่องเตือนสติไม่ให้พระธุดงค์เกียจคร้านต่อการเพ่งเพียรภาวนา ไม่เช่นนั้นอาจถูกสัตว์ป่าเหล่านั้น คุกคามทําอันตรายได้ ด้วยเหตุนี้พระธุดงค์ที่เข้าป่าใหม่ๆ จึงได้สภาพแวดล้อมในป่าช่วยในด้านสมาธิภาวนาเป็นอย่างมากเพราะกลัวตาย จึงต้องเร่งภาวนา
ส่วนพระธุดงค์ที่แก่กล้าในการบําเพ็ญเพียร ท่านย่อมอยู่เหนืออํานาจความกลัวใดๆ แม้แต่ความตายท่านก็ไม่กลัว ท่านจึงสามารถไปไหนๆ ตามลําพังองค์เดียวได้ เพราะจิตใจท่านมั่นคง ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามาก ย่อมพิจารณาคุณและโทษไปในทางอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เล็งแลเห็นสัตว์ป่าทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านจึงแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ
การพิจารณาต้นไม้ใบหญ้า ธรรมชาติแวดล้อมรอบกายอันมีความสงัดวิเวก ช่วยชูจิตให้สงบ ย่อมจะทําให้เกิดปัญญารู้แจ้งในธรรม เห็นมรรค ผล นิพพานได้ง่ายกว่าอยู่ในบ้านในเมืองที่มีความพลุกพล่าน วุ่นวายด้วยประการทั้งปวง
การเข้าป่าบําเพ็ญภาวนา อดๆ อยากๆ อดหลับอดนอน พาร่างกายเดินบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยบ้าง ให้ยุงกัดบ้าง ให้เสือร้องข่มขู่คุกคามบ้าง เหล่านี้จัดเป็นอุบายแยบคายที่จะทรมานร่างกายและจิตใจ ให้หายพยศไปตามลําดับขั้นตอน
หลวงปู่ทั้งสอง ได้ธุดงค์ลงใต้ไปถึงแขวงจําปาศักดิ์ ชนิดที่วันเวลาที่ผ่านไปไม่ได้นํามาจดจําเอาใจใส่ เพราะมีแต่ความร่าเริงใจในธรรมที่เพ่งเพียรอย่างไม่อ่อนกําลังท้อถอย ไม่แสดงอาการอ่อนแอยอมแพ้ต่อกิเลสมาร มีตัวตัณหาวัฏสงสารเป็นคู่ต่อสู้อยู่ในหัวใจ จําเป็นต้องใช้กําลังใจที่แก่กล้า ยอมตายถวายชีวิต จึงจะสามารถขูดกิเลสออกจากใจ และสามารถบรรลุถึงภูมิจิตภูมิธรรมแต่ละขั้นแต่ละตอน ตามวิถีทางแห่งอริยมรรคได้
ทางฝั่งลาวเป็นป่าทึบและมีภูเขามาก ฝนตกชุกแทบทุกวัน บางครั้งฝนตกติดต่อกันถึงสิบวันสิบคืนก็มี หลวงปู่ทั้งสองต้องผจญกับความยากลําบาก ไหนจะต้องเปียกฝนทนทุกข์ ต้องต่อสู้กับความหนาว ยิ่งถ้าเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยก็ไม่มียาจะรักษา ความขาดแคลนปัจจัยสี่ มีอาหารบิณฑบาต นับเป็นความลําบากอย่างยิ่ง สําหรับที่อยู่อาศัยและเครื่องนุ่งห่มนั้น แทบไม่ต้องกล่าวถึง เพราะเปียกชุ่มด้วยน้ำฝน แต่ท่านทั้งสองก็ฟันฝ่ามาได้
หลวงปู่แหวน เล่าให้พระเณรรุ่นหลังฟังว่า “ขณะธุดงค์อยู่ในป่า ฝนฟ้าตกหนักจนเปียกโชก ทนหนาวเหน็บและอดอาหารอยู่หลายวันหลายคืนอย่างนั้น สิ่งที่จะต้องระวังที่สุดก็คืออารมณ์กลัวตาย ที่อาจจะฟุ้งซ่านขึ้นมาได้ง่ายๆ”
ท่านเล่าว่า เคยมีพระธุดงค์หนุ่มบางรูป ทนความลําบากขาดแคลนกันดารในปัจจัยสี่ไม่ไหว และไหนจะลําบากในการประกอบความเพียร คือ ฝึกสมาธิทรมานจิตที่แสนคะนองโลดโผนประจํานิสัยมาแต่เดิม ไม่สามารถจะบังคับจิตอันมีพยศให้อยู่ในขอบเขตร่องรอยที่ต้องการได้ ความลําบากเพราะเดินจงกรมนาน นั่งภาวนานาน เกิดทุกขเวทนา ทรมานร่างกายจิตใจ และหิวโหยโรยแรงเพราะอดอาหาร เป็นต้น ทําให้พระธุดงค์ท้อแท้ใจ หมดสิ้นความมานะพยายาม ต้องหนีกลับบ้าน กลับเมืองในที่สุด
ดังนั้น พระธุดงคกรรมฐานจะต้องเด็ดเดี่ยว ไม่กลัวตาย จะต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกว่า พระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลายในอดีต ท่านเคยผ่านความลําบากยากแค้นขาดแคลนกันดารกว่านี้มาก่อน ท่านยังทนได้สู้ได้ เราจะต้องปฏิบัติตามท่านให้ได้ จะต้องกล้าหาญ อดทน คือ ทนต่อสภาพอากาศ ทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยและทุกข์ทรมานต่างๆ ทนต่อความหิวโหย ทนต่อความเปลี่ยวกายเปลี่ยวใจไร้เพื่อนฝูง และครูบาอาจารย์ผู้เคยอบรมสั่งสอนที่สําคัญอีกอย่างคือ พระธุดงค์จะต้องฝึกใจให้กล้าแข็งต่อแรงพายุอารมณ์กิเลสมาร ความฟุ้งซ่านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากใจตัวเอง พายุอารมณ์หลอกลวงเหลวไหลเป็นมายาจิต ตัวกิเลสนี้แหละเป็นตัวการ สําคัญร้ายกาจ คอยทําลายความเพียรภาวนาของพระธุดงค์ เป็นตัวการใหญ่ คอยกีดขวางทางดําเนินเพื่อ มรรค ผล นิพพาน ต่อไปได้
จากนั้นท่านทั้งสองก็แยกทางกันไป โดยหลวงปู่ตื้อ ธุดงค์ต่อไปในประเทศลาว ส่วนหลวงปู่แหวน ธุดงค์กลับมาฝั่งไทย และได้เสาะแสวงหาข่าวคราวของหลวงปู่มั่น จนทราบว่าท่านมาที่ดงมะไฟ บ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี นับเป็นการเดินทางไกลและยาวนานเป็นครั้งแรกจนได้เข้าพบหลวงปู่มั่น ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ คำแรกที่หลวงปู่มั่นสั่งสอนก็คือ "ต่อไปนี้ให้ภาวนา ความรู้ที่เรียนมา ให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน" ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกยินดีมากเพราะได้บรรลุสิ่งที่ตั้งใจ หลังจากอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ ๔ วัน พี่เขยและน้าเขยก็มาตามให้กลับไปเยี่ยมโยมพ่อที่ไม่ได้พบกันมานาน ๑๐ ปี จึงเข้าไปกราบลาหลวงปู่มั่น และได้รับคำเตือนว่า "ไปแล้วให้รีบกลับมา อย่าอยู่นาน ประเดี๋ยวจะเสียท่าเขา ถูกเขามัดไว้แล้วจะดิ้นไม่หลุด"
ท่านได้กลับไปเยี่ยมบ้านในปี พ.ศ.๒๔๖๑ เป็นที่นับถือศรัทธาของประชาชนในแถบบ้านเกิดมาก หลั่งไหลกันมากราบอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้พักผ่อนไม่พอและล้มป่วยลงต้องพักรักษาตัวอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ด้วยจิตที่ระลึกถึงคำสั่งของพระอาจารย์ว่า "อย่าอยู่นานให้รีบกลับมาภาวนา" กับคำสั่งเสียของแม่ว่า "แม่ยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ แล้วก็ให้ตายกับผ้าเหลือง" ทำให้ท่านตัดสินใจรีบเดินทางกลับไปอยู่รับการอบรมภาวนาต่อแล้วจึงได้แยกไปหาที่วิเวกบำเพ็ญสมาธิภาวนาตามความเหมาะสมกับจิตของตน เมื่อถึงวันอุโบสถจึงได้ถือโอกาสเข้านมัสการถามปัญหาข้อข้องใจในการปฏิบัติจากหลวงปู่มั่นจนเป็นที่เข้าใจแล้ว จึงกลับสู่ที่ปฏิบัติของตนดังเดิม โดยยึดมั่นในคำเตือนของหลวงปู่มั่นว่า "ให้ตั้งใจภาวนา อย่าได้ประมาท ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อ จงอย่าเห็นแก่การพักผ่อนหลับนอนให้มาก"
• จําพรรษากับหลวงปู่มั่น ที่นาหมีนายูง
หลวงปู่แหวน เคยจําพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในป่าที่เรียกว่า “นาหมีนายูง” ในเขต อ.น้ำโสม จ.อุดรธานี บริเวณนาหมีนายูงนี้ เป็นป่ารกชัฏ ชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่า ไข้ป่า พื้นที่เป็นที่ราบอยู่ติดภูเขา เลียบเลาะไปตามลําน้ำโขง ความจริงแล้วพื้นที่นี้เหมาะแก่การเพาะปลูก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปจับจอง เพราะหวาดกลัวความเจ็บไข้ และกลัวอันตรายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันตรายจากสิ่งลึกลับที่ไม่เห็นตัว ตามความเชื่อถือของชาวบ้าน ซึ่งเชื่อถือสืบต่อกันมานานว่า ถ้าใครขึ้นเขาไปตัดไม้ในป่าบริเวณนั้น จะต้องถูกผีป่าทําอันตรายเอา ทําให้เป็นไปต่างๆ บางรายถึงกับตายก็มี ดังนั้น ชาวบ้านจึงไม่กล้าเข้าไป ในบริเวณนั้น
ในพรรษานั้น หลวงปู่แหวนได้ร่วมจําพรรษาอยู่กับหลวงปู่มั่น โดยมีตาผ้าขาวคอยอุปัฏฐากอยู่ด้วย ๑ คน การปรารภความเพียรในพรรษานั้นเป็นไปอย่างเต็มที่ เพราะมีครูอาจารย์ คือ หลวงปู่มั่น คอยควบคุมแนะนําและให้อุบายจิตภาวนา โดยใกล้ชิด
• เปรตที่นาหมีนายูง
ระหว่างอยู่ที่นาหมีนายูง วันหนึ่งพระอาจารย์ใหญ่พูดว่า ที่ถ้ำใกล้ฝั่งโขงนั้นมีเจ้าของเขาอยู่ จึงบอกหลวงปู่แหวนให้ไปลองพูดกับเขาดู เผื่อจะเป็นบุญเคยช่วยเหลือกันมา
หลวงปู่แหวนจึงได้พักบริเวณใกล้ถ้ำนั้น สองคืนผ่านไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากเสียงสัตว์ป่าที่ออกหากินเวลากลางคืน พอคืนที่สาม ขณะนั่งภาวนาอยู่ ก็มีร่างกํายําใหญ่โตมายืนนอกถ้ำ ท่านเพ่งแผ่เมตตาไปให้ ร่างนั้นก็ยืนเฉยไม่แสดงกิริยาอาการรับรู้อะไรเลย อยู่สักพักก็หายไป
วันต่อมาก็มาอีก เขามายืนสงบอยู่อย่างนั้น หลวงปู่ก็แผ่เมตตา เจาะจงให้เขาอย่างที่เคยทํา คราวนี้เขาแสดงความยินดี จึงกําหนดจิต ถามเขาว่า เคยทํากรรมอะไรมา ได้คําตอบว่า ตอนเป็นมนุษย์ เขาเป็นนักเลงไก่ชน เที่ยวตีไก่อย่างโชกโชน ตายแล้วจึงมาเป็นเปรตอยู่บริเวณถ้ำนี้
หลวงปู่กําหนดจิตถามไปว่า ทําไมไม่สละถ้ำไปที่อื่น ได้ความว่า เขาหวงสถานที่ เพราะป่าบริเวณนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปตัดต้นไม้ เพราะเขาสําแดงเดชให้คนกลัวบ่อยๆ คนจึงเอาไก่ เอาหัวหมู เอาเหล้า มาเซ่นไหว้ อยู่เนืองๆ เขามีอาหารจากการเซ่นไหว้นั้น จึงไม่ยอมไปจากที่นั้น หลวงปู่พยายามแผ่เมตตาชี้แนะ แต่เขาไม่ยอมหนีไป เป็นอันว่า หลวงปู่แหวนไปทรมานเปรตเจ้าของถ้ำไม่สําเร็จ จึงได้กราบเรียนให้ หลวงปู่มั่นทราบ
ภายหลังหลวงปู่มั่น ท่านได้มาแผ่เมตตาให้เขา แล้วบอกให้เขาย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ ปรากฏว่า คืนที่เขาเคลื่อนย้ายที่อยู่นั้น เวลาดึกสงัด ขณะที่หลวงปู่มั่นนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้ เขาได้ย้ายที่ออกไป เกิดเสียงสะเทือนไปทั้งป่า
พอรุ่งเช้าชาวบ้านมาถามว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรดังมาก หลวงปู่มั่น ไม่ตอบ เพียงแต่หัวเราะแล้วพูดกับชาวบ้านว่า “ใครจะเอาไร่ เอานาก็เอาเสีย เจ้าของเขาย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
ต่อมาไม่นาน พื้นที่บริเวณนั้นจึงกลายเป็นไร่นาแต่นั้นมา ที่ใดประชาชนเข้าไปจับจองไม่ได้ เขาก็นิมนต์พระกรรมฐานเข้าไปอยู่ก่อน แล้วพวกชาวบ้านจึงตามเข้าไปบุกเบิกจับจองเอาทีหลัง เพราะที่ใดที่เจ้าของที่ดุร้าย เมื่อมีพระกรรมฐานเข้าไปแผ่เมตตาให้แล้ว ประชาชนเข้าไปทําไร่ทํานาก็ไม่มีอันตรายต่อไป
ในระยะแรกออกปฏิบัตินั้น ท่านไม่ได้ร่วมทำสังฆกรรมฟังการสวดปาติโมกข์ เพราะยังไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุต พระมหานิกายที่ได้รับการอบรมจากท่านหลวงปู่มั่นครั้งนั้นมีหลายรูป เมื่ออยู่ไปนานๆ ได้เห็นความไม่สะดวกในการประกอบสังฆกรรมดังกล่าว จึงไปกราบขออนุญาตให้ญัตติเป็นธรรมยุต ซึ่งบางรูปก็ได้รับอนุญาต บางรูปก็ไม่ได้รับอนุญาต โดยหลวงปู่มั่นให้เหตุผลว่า "ถ้าพากันมาญัตติเห็นพระธรรมยุตเสียหมดแล้ว ฝ่ายมหานิกายจะไม่มีใครมาแนะนำในการปฏิบัติ มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว ละในสิ่งที่ควรเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ นั่นแหละ คือ ทางดำเนินไปสู่มรรคผลนีพพาน"
ประมาณ พ.ศ.๒๔๖๔ ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพำนักและศึกษาธรรม กับพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ซึ่งหลวงปู่มั่นยกย่องอยู่เสมอว่าเชี่ยวชาญทั้งทางการเทศน์และการปฏิบัติธรรม หลังจากที่ท่านได้รับฟังธรรมและเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย พม่า และเชียงตุง จากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ แล้ว ก็ได้จาริกไปพม่า อินเดีย โดยผ่านทาง แม่ฮ่องสอน จังหวัดตาก ข้ามแม่น้ำเมย ขึ้นฝั่งพม่าต่อไปยังขลุกขลิกมะละแหม่ง ข้ามฟากไปถึงเมาะตะมะ ขึ้นไปพักที่ดอยศรีกุตระ กลับมามะละแหม่ง แล้วโดยสารเรือไปเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย แล้วต่อรถไฟไปเมืองพาราณสี เที่ยวนมัสการปูชนียสถานต่าง ๆ แล้วจึงกลับโดยเส้นทางเดิม ถึงฝั่งไทยที่อำเภอแม่สอด เดินเที่ยวอำเภอสามเงา
ปีต่อมา เดือนตุลาคม ท่านได้จาริกธุดงค์ไปเชียงตุง และ เชียงรุ้ง ในเขตพม่า โดยออกเดินทางไปด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ผ่านหมู่บ้านชาวเขา พักตามป่าเขา จาริกผ่านเชียงตุง แล้วต่อไปทางเหนือ อันเป็นถิ่นชาวเขา เช่น จีนฮ่อ ซึ่งอยู่ตามเมืองแสนทวี ฝีฝ่า หนองแส บางเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง พอฝนตกชุกจวนเข้าพรรษาก็กลับเข้าเขตไทย นับได้ว่าท่านได้ธุดงค์จาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่งในและนอกประเทศส่วนใหญ่จะพำนักอยู่ในเขตจังหวัดอุบลฯ อุดรฯ และตั้งใจจะไปให้ถึงสิบสองปันนาสิบสองจุไท แต่ทหารฝรั่งเศส ห้ามเอาไว้ จึงไปถึง วัดใต้หลวงพระบาง แล้วก็กลับพร้อมกับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม
ทางภาคเหนือ ท่านได้มุ่งเดินทางไป ค่ำไหนนอนนั่น จากอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลยออกไป อำเภอด่านซ้าย ผ่านอำเภอน้ำปาด อำเภอนครไทย อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ตัดไปอำเภอนาน้อย แพร่ หมู่บ้านชาวเย้า อำเภอสูงเม่น อำเภอเด่นชัย ลำปาง แล้วต่อไปยังเชียงใหม่ เที่ยวดูภูมิประเทศโดยรอบเขาดอยสุเทพ
ท่านได้รับความเมตตาจาก ท่านเจ้าคุณพระอุปาลีคุณูปมาจารย์ ด้วยดีตลอดมา ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๐ ท่านเจ้าคุณเห็นว่า หลวงปู่แหวน เป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีวิริยะอุตสาหะปรารภความเพียรสม่ำเสมอไม่ท้อถอย มีข้อวัตรปฏิบัติดี มีอัธยาศัยไมตรีไม่ขึ้นลง คุ้นเคยกันมานาน เห็นสมควรจะได้ญัตติเสีย หลวงปู่แหวน จึงตัดสินในเป็นพระธรรมยุต ที่พัทธสีมา วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ มี พระนพีสิ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ต่อมา หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ซึ่งเคยเป็นสหธรรมิกร่วมธุดงค์กัน ก็ได้ญัตติเป็นธรรายุตเหมือนกัน
ในระหว่างที่จาริกแสวงหาวิเวกอยู่ทางภาคเหนือนั้น ท่านได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย และได้แยกย้ายกันจำพรรษาตามป่าเขา ท่านเคยได้แยกเดินทางทุ่งบวกข้าว จนถึงป่าเมี่ยงขุนปั๋ง พอออกพรรษา หลวงปู่มั่น พระอาจารย์พร สุมโน ได้มาสมทบที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ขณะนั้น พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ มาร่วมสมทบอีก เมื่อทุกท่านได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่นแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป หลวงปู่แหวนพร้อมหลวงปู่ขาว พระอาจารย์พร ไปที่ดอนมะโน หรือ ดอยน้ำมัว ส่วนหลวงปู่มั่นอยู่ที่กุฏิชั่วคราวที่ชาวบ้านสร้างถวายที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋งนั่นเอง
ภายหลังหลวงปู่มั่น เดินทางกลับอีสานแล้ว หลวงปู่แหวนยังคงจาริกแสวงวิเวกบำเพ็ญธรรมอยู่ป่าเมี่ยงแม่สาย หลวงปู่เล่าว่า อากาศทางภาคเหนือถูกแก่ธาตุขันธ์ดี ฉันอาหารได้มาก ไม่มีอาการอึดอัด ง่วงซึม เวลาภาวนาจิตก็รวมลงสู่ฐานสมาธิได้เร็ว นับว่าเป็นสัปปายะ
ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๔ ขณะที่หลวงปู่แหวนปฏิบัติธรรมอยู่ที่เชียงใหม่ ได้ทราบข่าวว่า ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ประสบอุบัติเหตุขณะขึ้นธรรมาสน์เพื่อแสดงธรรมถึงขาหักจึงเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ และแวะกราบเรียนให้หลวงปู่มั่นทราบที่อุตรดิตถ์ แล้วเดินทางโดยรถไฟถึงโกรกพระ นครสวรรค์ ลงเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาถึงวัดคุ้งสำเภา พักค้างคืนหนึ่ง แล้วลงเรือล่องมาถึงกรุงเทพฯ เฝ้าพยาบาลท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ นานหนึ่งเดือน จึงกราบลาไปจำพรรษาที่เชียงใหม่
ปี พ.ศ.๒๔๙๘ ท่านจำพรรษาที่ วัดบ้านปง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เกิดอาพาธแผลที่ขาอักเสบทรมานมาก ท่านจำพรรษาอยู่รูปเดียว ชาวบ้านไม่เอาใจใส่ได้ ท่านพระอาจารย์หนู สุจิตฺโต วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พาหมอมาจี้ มาทำการผ่าตัดโดยไม่ต้องฉีดยาชา ใช้มีดผ่าตัดเพียงเล่มเดียว ท่านมีความอดทนให้กระทำจนสำเร็จและหายได้ในที่สุด
อีกหลายปีต่อมา พระอาจารย์หนูเห็นว่า หลวงปู่แหวน แก่มากแล้ว ไม่มีผู้อุปัฏฐาก จึงได้ชักชวนญาติโยมไปนิมนต์ให้ ท่านมาจำพรรษาที่ วัดดอยแม่ปั๋ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๕ ในฐานะพระผู้เฒ่าทำหน้าที่ปฏิบัติธรรมอย่างเดียวไม่ต้องเกี่ยงข้องกับภาระหน้าที่อื่นใด และท่านก็ได้ตั้งสัจจะว่า จะไม่รับนิมนต์ ไม่ขึ้นรถ ไม่ลงเรือ แม้ที่สุดจะเกิดอาพาธหนักเพียงใด ก็จะไม่ยอมเข้านอนโรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้ได้ นับตั้งแต่ท่านขึ้นไปภาคเหนือแล้ว ท่านก็ไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นอีกเลย ท่านเคยอยู่บนดอยสูงกับชาวเขาเกือบทุกเผ่า อยู่ในป่าเขาภาคเหนือตอนบน เช่น เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ส่วนภาคเหนือตอนล่าง เช่น แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก ท่านเคยจาริกไปครั้งคราว จึงนับได้ว่า วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นสถานที่ซึ่ง หลวงปู่อยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๕ จวบจนมรณภาพ
หลวงปู่แหวน มีโรคประจำตัวคือ เป็นแผลเรื้อรังที่ก้นกบยาวประมาณ ๑ ซม. มีอาการคัน ถ้าอักเสบก็จะเจ็บปวดมาก และอีกโรคหนึ่งคือ เป็นต้อกระจกนัยน์ตาด้านซ้าย เป็นต้อหินนัยน์ตาด้านขวา หมอได้เข้าไปรักษาเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๘ ซึ่งรักษาแล้วสุขภาพก็ยังแข็งแรงตามวัย แต่ต่อมาปีพ.ศ.๒๕๑๙ ร่างกายเริ่มซูบผอม อ่อนเพลีย ฉันอาหารได้น้อย ขาทั้ง ๒ เป็นตะคริวบ่อย ต่อมา ๒๕๒๐ สุขภาพทรุด ค่อนข้างซูบเหนื่อยอ่อน เวียนศีรษะถึงกับเซล้มลง และประสบอุบัติเหตุขณะครองผ้าจีวรในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๒ ซึ่งเป็นวันที่ทางวัดจัดงานผูกพัทธสีมา ส่งผลให้เจ็บบั้นเอวและกระดูดสันหลัง ลุกไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับที่ รักษาอยู่เดือนหนึ่ง ก็หายเป็นปกติ แต่เนื่องจากหลวงปู่อายุมากแล้ว จึงมีอาการอาพาธมาโดยตลอด คณะแพทย์ก็คอยให้การรักษาด้วยดีเช่นกัน จนกระทั่งใน วันอังคารที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๘ เวลา ๒๑.๕๓ น. การหายใจครั้งสุดท้ายก็มาถึง หลวงปู่แหวน ท่านได้ละร่างอันเป็นขันธวิบากไปด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ ๙๘ ปี ๕ เดือน ๑๗ วัน พรรษา ๕๘
คัดลอกจาก : หนังสือชีวประวัติหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ; จัดทำโดย รศ.ดร.ปฐม นิคมานนท์ ; พิมพ์ปี ๒๕๔๖
-------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณที่มา และอนุโมทนาบุญ FB page พระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น