หลวงปู่ฉลวย สุธัมโม วัดป่าบ้านวไลย (วัดป่าวิทยาลัย) ต.หนองพลับ อ.หัวหินจ.ประจวบขีรีขันธ์


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ฉลวย  สุธัมโม ๏ 
     วันนี้วันที่ ๓๐ มกราคม​ ๒๕​๖​๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม รำลึก ๓๑ ปี อาจาริยบูชาคุณ “พระอริยสงฆ์ผู้พุ่งทางตรงสู่ทางธรรม” แห่งวัดป่าบ้านวไลย (วัดป่าวิทยาลัย) ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ท่านเป็นศิษย์สำคัญรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับข้อธรรม และเรียนวิธีการเผาบาตรบ่มบาตรจากท่านพระอาจารย์มั่นด้วย หลวงปู่ฉลวย เป็นภิกษุผู้มีจริยวัตรงดงาม ตั้งใจเอาจริงเอาจังในการทำความเพียร ออกธุดงค์รุกขมูลไปทั่วทุกถิ่น ท่านผู้เริ่มสร้างวัดป่ากลางโนนภู่ (ศาลาพักอาพาธหลวงปู่มั่น) อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร , วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่ , วัดราชายตนบรรพต (เขาต้นเกด) อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และบูรณะวัดใหญ่ชัยมงคล (ที่ถูกปล่อยให้รกร้างจากศึกสงครามกับพม่า) จ.อยุธยา เป็นต้น จึงขอน้อมนำชีวประวัติย่อของหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม มาเผยแพร่ เพื่อน้อมเป็นสังฆานุสติ และมรณานุสติครับ

“..มันโง่ ต้องพิจารณาให้มันรู้ ต้องทำที่ใจ พระพุทธเจ้าทรมานกายจนผมขนจะเน่า ก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ จึงหันมาทำที่ใจนี่ ต้องพิจารณาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ยืดแข้ง เหยียดขา ไม่ใช่นั่งสมาธิอย่างเดียว..” โอวาทธรรมหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม


ประวัติปฏิปทาหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม “พระอริยสงฆ์ผู้พุ่งทางตรงสู่ทางธรรม”
วัดป่าบ้านวไลย (วัดป่าวิทยาลัย) ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

นามเดิม หวย ต่อเปลี่ยนชื่อเป็น ฉลวย สกุลเดิม งามสมภาค ท่านถือกำเนิด เมื่อวันศุกร์ที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๙ ตรงกับขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะเมีย ที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อเจริญวัยขึ้นพอสมควรแก่การศึกษา มารดาจึงส่งให้ไปเรียนหนังสือที่วัดใกล้ๆ บ้านจนกระทั่งพออ่านออกเขียนได้ จึงกลับมาอยู่ที่บ้านอีก ด.ช.หวยนั้นประสบอุบัติเหตุทางน้ำหลายครั้ง บางครั้งจมน้ำอยู่นาน น่าที่จะเสียชีวิต แต่ก็ปรากฏว่า ทุกครั้ง ด.ช.หวย ก็ปลอดภัย

อุปนิสัยของหลวงปู่เป็นคนช่างสังเกต ฉลาด ละเอียดรอบคอบค่อนข้างตระหนี่ เป็นคนจริง ไม่กลัวใคร และไม่ยอมคน แต่ทว่า มีความเมตตาอยู่ในจิตใจ ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก บางครั้งช่วยคนมีคดีความจนเกิดวิวาทกับข้าราชการก็มี หลวงปู่เป็นลูกชายคนโต จึงต้องรับภารกิจการงานเกือบทุกอย่างของครอบครัว ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า "มารดาใช้ลูกจ้างอย่างไร ก็ใช้ท่านอย่างนั้น ถ้ามารดายังไม่นอน ท่านกับลูกจ้างจะนอนก่อนไม่ได้" แต่ถึงอย่างนั้น หลวงปู่ก็คิดได้ว่า "มารดาท่านทำให้กับเราเอง จึงทำใจได้"

อุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะมหานิกาย ครั้งแรก เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ที่วัดพระญาติการาม โดยมีหลวงพ่อกลั่น เป็นพระอุปัชฌาย์ อุปสมเป็นพระภิกษุในคณะมหานิกาย ครั้งที่สอง เมื่ออายุ ๓๙ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ที่วัดโคกช้าง อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่ออั้น เป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านได้มีโอกาสรู้จักกับโยมกิมเฮียง เจ้าของกิจการน้ำอบนางลอย ได้สนทนาเรื่องข้อวัตรปฏิบัติของพระอาจารย์ต่าง ๆ รวมถึงท่านพ่อลี ธัมมธโร จึงหาโอกาสให้โยมพาไปหาท่านพ่อลี แต่พอดีโยมจะไปทอดกฐินที่วัดป่าบ้านหนองผือ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ซึ่งเป็นสำนักของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต โยมจึงได้ชักชวนให้ท่านร่วมเดินทางไปกราบนมัสการและฟังธรรมท่านพระอาจารย์มั่น และเมื่อท่านได้ฟังธรรม ท่านก็ขออนุญาตพักอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือเพื่อขอศึกษาธรรม

พบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครั้งแรก 

เพียงย่างก้าวแรกที่เข้าเขตของวัดหนองผือ (อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) เท่านั้น จิตใจของหลวงปู่ที่เคยเข้มแข็ง องอาจ ไม่กลัวใคร ก็อ่อนลง สงบราบคาบอย่างน่าประหลาด และเป็นไปตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวัดหนองผือนั้น เมื่อเข้าไปถึงกุฏิของหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่ทำธุระอยู่ข้างล่าง หลวงตาแย้มจึงขึ้นไปกราบก่อน หลวงปู่มั่นได้ถามถึงการปฏิบัติของหลวงตาแย้มว่าปฏิบัติมาอย่างไร หลวงตาแย้มก็เล่าเป็นปริยัติที่ตนได้เรียนมา พอดีหลวงปู่ขึ้นไปกราบ หลวงปู่มั่นจึงถามว่า "เอ้า แล้วท่านล่ะ ปฏิบัติมาอย่างไร" หลวงปู่จึงเล่าให้ฟังว่า "กระผมบวชเมื่อแก่ครับ กระผมไม่ได้ศึกษาอะไรมาก กระผมทำกัมมัฏฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก พิจารณาทวนเข้าไปหาจิต ใครว่าเป็นเรา ใครรู้ว่าเป็นเรา ใครจำว่าเป็นเรา ใครคิดว่าเป็นเรา ใครยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา พิจารณาสร้างขึ้นและทำลายลง ทำติดต่อกัน ปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ แต่กระผมก็ไม่ติดใจ จนเกิดความสงบ มีปีติ และสุข..." หลวงปู่ได้เล่าถึงการปฏิบัติให้หลวงปู่มั่นฟังทุกอย่าง หลวงปู่มั่นได้ฟังแล้ว ก็แสดงธรรมย้ำอยู่ตรงจุดนั้นเป็นเวลานาน หลวงปู่ฟังเป็นที่เข้าใจอย่างดี จากนั้น จึงขอพักอยู่ในวัดหนองผือนั้น

ในขณะที่พักอยู่ในวัดนั้น หลวงปู่มั่นจะกล่าวเป็นทำนองไล่หลวงปู่ทุกวัน โดยกล่าวว่า "เนี่ย ฉลวยเค้าจะไปไหนก็ไม่ไป" ยิ่งคนมีมาก ก็จะยิ่งไล่แต่หลวงปู่กลับมีความเห็นว่า ท่านไล่กิเลสของเราต่างหาก จึงได้แต่ตอบว่า "มันมืดครับ ผมมาจากต่างถิ่น ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ จึงไปไม่ถูก" 

หลวงปู่มั่นนั้น ถึงจะพูดเป็นเชิงไล่ทุกวัน แต่ท่านก็แสดงธรรมให้ฟังทุกวันเช่นกัน หลวงปู่จึงคิดว่า หากท่านไล่เราจริง ก็ต้องไม่สอนเราสิ ท่านจึงทำในใจไว้ว่า "ถ้าท่านอาจารย์มั่นไม่ให้เราอยู่บนกุฏิ เราจะอยู่บนแผ่นดิน เพราะแผ่นดินไม่ได้เป็นของใคร"

"หากท่านอาจารย์มั่น จะตั้งอธิกรณ์เพื่อไม่ให้อยู่ก็คงตั้งได้ ๔ ข้อ คือ ๑. มีสังฆาฏิชั้นเดียว ๒. ต่างนิกาย ๓. ไม่มีคนรับรอง ๔. ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า" ท่านพิจารณาเรื่องนี้จนตลอดคืน ได้ความว่า
"๑. ที่ว่ามีสังฆาฏิชั้นเดียว เราจะขอใหม่ก็ได้ เพราะโยมกิมเฮียงเขาปวารณาไว้แล้ว แต่เราไม่ขอ เราเป็นพระ ไม่ง้อคน มีอย่างไรก็ใช้อย่างนั้น 
๒. ที่ว่าต่างนิกายนั้น เราก็พร้อมที่จะญัตติทุกเมื่อ 
๓. ที่ว่าไม่มีคนรับรองนั้น โยมกิมเฮียงก็เป็นคนรับรองให้เราได้ 
๔. ที่ว่าไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้านั้น ใบสุทธิเราก็มีอยู่"

เมื่อท่านพิจารณาได้ความอย่างนี้แล้ว ก็จะนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนให้หลวงปู่มั่นทราบ หมู่คณะรู้เข้าก็ทัดทานว่าอย่าเลย ท่านเป็นครูบาอาจารย์ อย่าไปรบกวนท่าน หลวงปู่ก็ว่าไม่ได้รบกวนอะไร เพียงแต่กราบเรียนถึงความคิดให้ฟัง เมื่อเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่มั่นก็หัวเราะ

วันหนึ่ง ในเวลาพระเณรกำลังฉันน้ำร้อนน้ำชา หลวงปู่มีใบจากและยาเส้นแต่ไม่มีไม้ขีดไฟ (ในสมัยนั้น ไม้ขีดไฟหายาก เพราะเป็นช่วงสงครามโลก) เมื่อต้องการไฟมาจุดยาสูบ ท่านจึงไปหยิบท่อนไฟในกองไฟมาจุด พระเณรทั้งหลายก็หัวเราะเสียงดังครืน วันต่อมา ท่านก็ทำอย่างนี้อีก พระเณรก็หัวเราะกันอีก ท่านจึงคอยสังเกตว่าเขาทำกันอย่างไร ปรากฏว่า เมื่อพระเหล่านั้นต้องการไฟจุดยาสูบเขาต้องให้สามเณรนำท่อนไฟ มาประเคนก่อน จึงจุดสูบ หลวงปู่จึงเรียกสามเณรให้ประเคนท่อนไฟบ้าง พระเณรเหล่านั้นก็หยุดหัวเราะ เมื่ออยู่ได้ระยะหนึ่ง หลวงตาแย้มเกิดจิตตก ไม่อยากอยู่ อยากจะกลับอย่างเดียว เมื่อหลวงปู่มั่นทราบก็ให้เรียกหลวงตาแย้มไปหา ท่านถวายจีวรให้ ๑ ผืน และกล่องยาเส้นอย่างดี ๑ กล่อง หลวงตาแย้มเมื่อถูกวางยารักษาโรคแล้ว โรคอยากกลับก็หายเป็นปกติ อยู่ได้ต่อไป

เมื่อทราบข่าวว่า ที่สำนักสงฆ์นาใน (อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) ซึ่งเป็นสาขาของวัดหนองผือนั้น ไม่มีพระอยู่แล้ว และทางนี้หลวงปู่มั่นก็กล่าวไล่ทุกวัน หลวงปู่จึงคิดว่า จะไปพักทำความเพียรที่สำนักสงฆ์นาใน จึงขึ้นไปกราบลาหลวงปู่มั่น แต่ยังไม่ทันได้กราบลา หลวงปู่มั่นก็ทักขึ้นก่อนว่า "อ้าว ฉลวย จะรีบไปไหนละ เดี๋ยวก่อน ให้พระท่านตัดเย็บจีวรให้ก่อน" แล้วยื่นบาตรเหล็กให้ใบหนึ่ง และกล่าวว่า "ถวายบาตรนี้ให้เอาไปขัดให้ขาวก่อน จะสอนวิธีเผาบาตรให้" 

หลวงปู่จึงพักอยู่ต่อไปอีก วันต่อๆ มา เมื่อหลวงปู่มั่นถามว่า "ขัดบาตรหรือยังล่ะ ฉลวย"
"กระผมขัดแล้วครับ" หลวงปู่กล่าวพร้อมกับส่งบาตรให้ท่าน "เออ ขาวดีแล้วนะ ถ้าขัดอีกคงทะลุ" จากนั้นจึงพาหลวงปู่ไปยังที่เผาบาตร และเผาบาตรให้ พร้อมทั้งสอนวิธีการต่างๆ จนเสร็จเรียบร้อย เมื่อผ้าไตรจีวรตัดเย็บเสร็จแล้ว หลวงปู่กับหลวงตาแย้มจึงกราบลาหลวงปู่มั่นไปอยู่ที่สำนักสงฆ์นาใน รวมระยะเวลาที่อยู่ในวัดหนองผือทั้งสิ้น ๑๘ วัน หลวงปู่เล่าให้พระเณรฟังว่า "ฟังเทศน์ของท่านอาจารย์มั่น ๑๘ วัน ๑๘ คืน แต่ไม่ได้อะไรไป เพราะผมทำและรักษาอยู่แล้ว"

สำนักสงฆ์นาในสมัยนั้น ยังเป็นป่าใหญ่ และมีเสนาสนะอยู่ห่างกันมาก จึงเป็นที่ฝึกและทดสอบการภาวนาได้เป็นอย่างดีวันหนึ่ง หลวงปู่ออกมาเดินจงกรมที่ศาลา ในเวลาพลบค่ำ ในใจก็มีความหวาดระแวงถึงเสือ สักพักหนึ่ง พอใจคิดว่าเสือเท่านั้นก็ตกใจ เงยหน้าขึ้นก็เห็นภาพเสืออยู่ข้างหน้าทันที แต่เมื่อตั้งสติได้ ภาพก็หายไป ท่านจึงจับได้ว่า ใจเรานั้นเองที่โกหกหลอกลวง เชื่อไม่ได้ 

เมื่อพำนักอยู่ได้ระยะหนึ่ง หลวงตาแย้มเกิดอาพาธหนัก การรักษาก็เป็นไปตามมีตามได้ เพราะอยู่ในป่าห่างไกลจากความเจริญ ในที่สุด หลวงตาแย้มก็มรณภาพ หลวงปู่จึงเขียนจดหมายให้โยมส่งข่าวไปบอกแก่ญาติของหลวงตาแย้ม เย็นวันนั้นญาติโยมมาที่วัดกันหลายคน แต่พอถึงเวลาค่ำ ต่างคนก็ลากลับบ้านกันหมด จึงเหลือแต่หลวงปู่กับศพหลวงตาแย้ม พอหลวงปู่จะกลับไปนอนที่กุฏิก็เกิดความกลัวว่า เดี๋ยวผีจะตามไปหลอก ท่านจึงต้องกลับมานั่งอยู่หน้าศพ เฝ้าอยู่หลายคืน คอยระวังและคอยดูว่า ผีมันจะออกมาทางไหน เมื่อไร จนกระทั่งตลอดคืนก็เห็นมีแต่น้ำเหลืองเท่านั้นที่ไหลออกมา ไม่เห็นมีผีออกมา

เมื่อคอยข่าวคราวอยู่หลายวัน เห็นไม่มีญาติของหลวงตาแย้มมาแน่แล้ว หลวงปู่กับชาวบ้านจึงตัดสินใจเผาศพเสีย ขณะนั้น หลวงปู่เริ่มมีอาการอาพาธแล้ว โยมกิมเฮียงนั้นกลัวว่าหลวงปู่จะเป็นอะไรไปอีกองค์ คนเขาจะหาว่าตนพาพระมาตายเสียหมด จึงนิมนต์หลวงปู่ให้กลับอยุธยา หลวงปู่นั้นยังไม่อยากกลับ แต่เห็นใจโยมกิมเฮียง จึงตกลงกลับ เมื่อกลับมาอยู่วัดยมแล้ว อาการอาพาธของหลวงปู่ก็หนักขึ้น ตัวเหลือง ซีดลงทุกวัน ฉันได้แต่น้ำข้าววันละชาม ท่านไม่ฉันยา ยอมสละชีวิตเป็นเดิมพัน พิจารณาความตายเป็นอารมณ์ มีใจเด็ดเดี่ยวว่า จะตายวันละกี่หนก็เอา โยมมารดานั้นเห็นแล้วก็ร้องไห้ ขอให้หลวงปู่ฉันยา หลวงปู่กล่าวว่า "ถ้าหากฉันยาแล้วมันไม่ฉันข้าวจะว่าอย่างไร" โยมมารดาก็ยังอ้อนวอนให้ฉันร่ำไป จนหลวงปู่ยอมฉัน พอฉันยาเข้าไปแล้ว ก็ฉันน้ำข้าวไม่ได้อีก หลวงปู่จึงบอกโยมว่า "ไม่หายหรอก เทยาทิ้งเถอะ ไม่เป็นไร"

หลวงพ่อก้านนั้นอาพาธกลับไปอยู่วัดถนน ตั้งแต่หลวงปู่ยังไม่ได้ไปวัดหนองผือ ครั้นหายจากอาพาธแล้ว ก็กลับมาวัดยมอีก ก็พบว่าหลวงปู่กำลังอาพาธอยู่ หลวงปู่นั้นยังพอเดินได้ วันหนึ่ง จึงชวนกันไปธุระข้างนอก หลวงปู่ได้ไปฉันข้าวราดแกงเนื้อ และฉันได้ถึงสองจาน เมื่อกลับมาแล้วอาการอาพาธก็มีอาการดีขึ้น และต่อมาก็หายเป็นปกติ หลวงปู่กล่าวว่า "ถึงคราวมันจะหาย มันก็หายง่ายๆ"

หลังจากหายดีแล้ว หลวงปู่ฉลวย หลวงพ่อก้านและเพื่อนสหธรรมมิกอีก ๒ รูป คือพระสายบัว และพระทองม้วน จึงชวนกันจาริกธุดงค์ลงมายังจังหวัดเพชรบุรี พักอยู่ที่ถ้ำแกลบ แต่ปรากฏว่า เมื่ออยู่ในถ้ำ หลวงปู่ได้ยินแต่เสียงคล้ายชีสวดมนต์ หรือคุยกันตลอดเวลา ท่านเห็นว่า รบกวนความสงบ จึงชวนสหธรรมมิกให้ออกธุดงค์ต่อไป เมื่อเก็บบริขารกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อหลวงปู่จะก้าวออกจากถ้ำ ก็เกิดขึ้นที่จิตว่า "อ้าว เราแพ้ซะแล้ว" "ไม่เป็นไร แพ้แล้วก็แล้วไป" คณะสงฆ์จากวัดยม ออกจากเพชรบุรีแล้ว ย้อนขึ้นไปจังหวัดราชบุรี พักอยู่ที่สำนักประชุมนารี หลวงปู่เห็นเป็นที่เหมาะสมสำหรับโยมมารดา จึงไปรับมาและฝากไว้กับคุณจอมทรัพย์ ให้ช่วยเป็นธุระดูแล ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ที่พำนักอยู่ในสำนักประชุมนารีนั้น หลวงปู่ได้แสดงธรรมเทศนาสั่งสอนอุบาสิกา และญาติโยมทั้งหลายที่มาจากตลาด ทั้งกลางวันกลางคืน จนเกิดศรัทธาเลื่อมใส ญาติโยมทั้งหลายอาราธนานิมนต์ให้อยู่จำพรรษา แต่หลวงปู่ไม่รับและกล่าวว่า "ถ้าญาติโยมยังไม่เชื่ออาตมา ยังไม่มีศรัทธาแล้ว อาตมาก็จะอยู่ต่อไปอีก แต่ตอนนี้โยมทั้งหลาย มีศรัทธาแล้ว อาตมาเทศน์บอกโยมหมด อาตมาก็ไม่มีเวลาภาวนา อาตมาขอไปอยู่ที่อื่น"

เสร็จแล้วออกจาริกต่อไปพร้อมด้วยหมู่คณะ ตกลงกันไปกราบหลวงปู่มั่น ณ วัดหนองผือ อีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปถึงวัดหนองผือนั้น ปากทางก็คือบ้านของโยมอ่อน อุปัฏฐากใหญ่ผู้ให้ที่พัก และ คอยรับส่งผู้ที่จะเข้าไปยังวัดหนองผือ หลวงปู่และคณะก็ได้ไปอาศัยพักเช่นกัน เมื่อได้สนทนากันโยมอ่อนได้กล่าวถึงสถานที่บริเวณบ้านกุดก้อม ว่าท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เคยกล่าวว่า ที่นั่นมีทำเลอันดี เหมาะที่จะสร้างวัด หลวงปู่จึงขอให้โยมอ่อนพาไปดู เมื่อหลวงปู่ได้เห็นแล้วก็เกิดชอบ เห็นว่าสัปปายะ เหมาะแก่การภาวนาจริง จึงบอกกับโยมอ่อนว่าจะจำพรรษาที่นี่ ขอให้ช่วยจัดเสนาสนะให้ด้วย หลังจากไปกราบหลวงปู่มั่นแล้วก็จะกลับมา โยมอ่อนรับคำแล้ว หลวงปู่ฉลวย หลวงพ่อก้าน พระสายบัว พระทองม้วน จึงเข้าไปยังวัดหนองผือ 

เมื่อเข้ามาในวัดหนองผือแล้วก็ไปยังกุฏิของหลวงปู่มั่น เมื่อพบหลวงปู่มั่น ท่านก็ทักขึ้นก่อนว่า "อ้าว ฉลวย มาอีกแล้ว ไม่กลัวตายหรือ" "ครับ กระดูก ๓๐๐ ท่อน ตายตรงไหน ก็ทิ้งมันตรงนั้นแหละครับ" หลวงปู่ตอบ หลวงปู่และคณะพักอยู่ในวัดหนองผือครั้งนี้ จนกระทั่งใกล้จะเข้าพรรษา หลวงปู่มั่นเทศนา อบรมมุ่งจะแก้ไขแนวการปฏิบัติของหลวงปู่ฉลวย ที่หลวงปู่ฉลวยกล่าวว่า เป็นการปฏิบัติแบบลุยไฟ ชนกับกิเลสซึ่งหน้า ให้มาปฏิบัติแบบเป็นขั้นเป็นตอน คือฝึกจิตให้เป็นสมาธิก่อน แล้วยกขึ้นพิจารณา แบบค่อยไปค่อยไป แต่ปรากฏว่า หลวงปู่ฉลวยไม่ชอบอย่างนั้น วันสุดท้าย ก่อนที่จะจากกัน หลวงปู่มั่นจึงกล่าวกับหลวงปู่ว่า
"เพื่อนว่าจะแก้ไขให้เพื่อน เพื่อนก็ต้องแก้ของเพื่อนเองเน้อ" และบอกให้รู้
"ฉลวย รีบกลับเถอะ เดี๋ยวเสนาสนะจะไม่เสร็จ" แล้วจึงเข้ามาจับมือหลวงปู่ฉลวย แนะอุบายธรรมให้ว่า
"ฉลวย ธรรมยุตฯ หรือมหานิกาย ไม่สำคัญเน้อ ปัจจุบันเน้อวิสุทธิ อยู่ตรงนั้น"
หลวงปู่ฉลวยก็เข้าใจได้ทันทีว่า ท่านให้ตัดอดีต อนาคตเสีย วิสุทธินั้นอยู่ที่ปัจจุบันธรรม เพราะหลวงปู่นั้นรักษาอยู่แล้ว ท่านจึงเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น

ครั้งนี้ก่อนเข้ากราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ท่านได้ไปพบโยมอ่อน ซึ่งทำหน้าที่อุปัฏฐากและคอยรับส่งผู้ที่จะเข้าไปยังวัดป่าบ้านหนองผือ ท่านได้สนทนาหาสถานที่สงบสงัดใกล้วัดป่าบ้านหนองผือ เพื่อใช้เป็นที่พัก ทราบว่าท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์เคยมาพักที่บ้านกุดก้อม ท่านเจ้าคุณเห็นว่าสถานที่นี่ร่มรื่นเหมาะสมที่จะสร้างเป็นวัด ท่านจึงได้ขอให้โยมพาไปดู และเห็นในความเหมาะสม จึงได้สร้างที่พัก และพักอยู่ยังสถานที่นี้ เพื่อสามารถเข้า-ออกได้อย่างสะดวก ในการไปกราบนมัสการและฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์มั่น ต่อมาจึงได้กลายเป็นวัดป่ากลางโนนภู่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ในวาระที่สอง ที่ท่านได้กราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นนี้ ท่านไม่เคยถูกท่านพระอาจารย์มั่นออกอุบายขับไล่ และได้รับความเมตตาจากท่านพระอาจารย์มั่น เตือนให้ท่านตั้งใจปฏิบัติ โดยไม่ต้องกังวลในนิกายที่ต่างกัน จนเมื่อท่านดำริว่าน่าจะหาพระพุทธรูปสักองค์มาประดิษฐานที่วัดที่ท่านสร้างขึ้นใหม่นี้ โยมกิมเฮียงได้ปวารณาขอสร้างถวาย และส่งมาทางรถไฟ
ให้พระอาจารย์ก้านไปรอรับที่วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี

เมื่อท่านตามไปทีหลัง พอดีที่วัดโพธิสมภรณ์ กำลังมีการหัดขานนาค ท่านจึงได้ขอเข้าร่วม แต่ตั้งความคิดไว้ในใจ ถ้าจะให้ท่านสึกก่อนแล้วมาบวชใหม่ท่านก็จะไม่ร่วมบวช เมื่อท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์มิได้ประสงค์ให้ท่านทำการสึกก่อนบวชใหม่
ท่านจึงเข้ารับการญัตติกรรมเป็นพระภิกษุในคณะพระธรรมยุต พร้อมกับพระอาจารย์ก้าน เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ปีพ.ศ. ๒๔๙๑ 
ที่วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูประสาทคณานุกิจ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฉลวย ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า “สุธัมโม” และพระอาจารย์ก้าน ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า “ฐิตธัมโม” ในขณะนั้นหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม มีอายุ ๔๒ ปีแล้ว

ในระหว่างที่ท่านสร้างวัดป่ากลางโนนภู่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ท่านก็ได้นิมิตถึงพระเจดีย์ที่วัดใหญ่ชัยมงคล อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา ทำให้ท่านมีความสงสัยว่าจะมีความเกี่ยวพันธ์กับท่าน จึงได้ชักชวนพระอาจารย์ก้าน และพระเณรกลับมาบูรณะวัดใหญ่ชัยมงคล และนิมนต์ท่านพระอาจารย์กู่ ธัมมทินฺโน มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่ากลางโนนภู่แทนท่าน

เมื่อท่านมาอยู่ที่วัดใหญ่ชัยมงคลกับพระอาจารย์ก้าน ท่านพระอาจารย์ชา สุภทฺโทได้มาเมตตาพร้อมกับพระอาจารย์นาถ จึงครบสงฆ์ อยู่ร่วมกันและทำสังฆกิจ ๔ รูป แต่เนื่องจากพระอาจารย์ฉลวย และพระอาจารย์ก้านเป็นพระภิกษุในคณะพระธรรมยุต
ท่านทั้งสองจึงถูกเรียกไปสอบสวน ซึ่งท่านได้ชี้แจงว่าท่านถือเอาธรรมวินัยเป็นหลัก ไม่ได้ถือในนิกายที่ต่างกัน และจากการที่ท่านปฏิบัติเคร่งครัดในธรรมวินัย ปัญหาจึงคลี่คลายลงไป

ท่านมาพักเพื่อบูรณะฟื้นฟูวัดใหญ่ชัยมงคลรวมเวลา ๔ ปี จากนั้นท่านได้ธุดงค์ภาคเหนือและมาพักที่ดงป่าใกล้สถานีรถไฟแม่พวก อ.เด่นชัย จ.แพร่ แต่เพราะชุกชุมด้วยไข้มาลาเรีย คณะที่ธุดงค์มาก็พากันอาพาธ และมาพักรักษาที่ตลาดเด่นชัย และชาวบ้านที่ได้เห็นในปฏิปทาของคณะพระธุดงค์ จึงได้มีผู้ถวายที่สร้างวัด และกรมป่าไม้ได้ถวายที่เพิ่ม ท่านจึงต้องอยู่เพื่อสร้างวัด และจำพรรษา ณ วัดแห่งนี้ ๓ พรรษา ท่านตั้งชื่อวัดว่า วัดหอธรรมเทพสุวรรณ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น วัดแพร่ธรรมาราม
จากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ต่อ และมาสร้างวัดราชายตนบรรพต หรือวัดเขาต้นเกด อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้พระอาจารย์ก้าน ฐิตธัมโม มาเป็นเจ้าอาวาส จนถึงปัจจุบัน

ส่วนตัวท่านได้ขึ้นไปจำพรรษาบนเขาดำหลังวัดเขาต้นเกด แต่เพียงลำพัง รวม ๒ พรรษา เมื่อออกพรรษาที่ได้ธุดงค์มาพักบนเนินสวรรค์ ในเขตหนองพลับ นายแคล้ว เกิดเดินป่าล่าสัตว์มาพบ เกิดศรัทธาจึงนิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่ ๒๑ ในไร่ของนายแคล้ว ช่วงที่ท่านจำพรรษาในไร่นายแคล้ว ท่านได้อาพาธด้วยไม่มีเสนาสนะคุ้มแดดคุ้มฝน จึงกลับมาพักที่วัดเขาต้นเกด เมื่ออาการดีขึ้น

ท่านจึงเดินทางไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ องค์อุปัชฌาย์ของท่าน แล้วธุดงค์ไปจำพรรษาที่ถ้ำแสงเพชร ๑ พรรษา ไปเยี่ยมท่านพระอาจารย์ชา สุภัทโท และจำพรรษาที่วัดหนองป่าพง ๑ พรรษา กลับมาพักที่วัดเขาต้นเกด และกลับไปสร้างพระอุโบสถที่วัดหอธรรมเทพสุวรรณ ขณะควบคุมการก่อสร้างพระอุโบสถ ท่านอาพาธอีกครั้งจึงต้องกลับวัดเขาต้นเกด และจำพรรษาที่วัดเขาต้นเกดเป็นเวลา ๔ พรรษา แต่ด้วยท่านตั้งสัจจะที่จะไม่จำพรรษาในสถานที่แห่งเดียวเกิด ๔ พรรษา จึงตั้งใจออกธุดงค์อีกครั้ง

ท่านปรารภกับญาติโยมว่าเคยมาพักที่เนินสวรรค์ กับชาวบ้านวลัย ต.หนองพลับ นายแคล้วจึงนำคณะมาขอถวายที่ดินให้ท่านมาสร้างวัดในขณะที่สมเด็จพระพุทธปาพจนบดี (หลวงปู่ทองเจือ จินฺตากโร) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เสด็จมาเยี่ยมวัดเขาต้นเกด ท่านจึงรับที่ดินที่มาถวายและมาสร้างเป็นวัดป่าวิทยาลัย ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และอยู่จำพรรษา เป็นวัดสุดท้ายของท่าน

หลวงปู่ฉลวย สุธัมโม ท่านมรณภาพ เมื่อเช้ามืดวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๖ เวลา ๐๕.๐๐ น สิริรวมอายุ ๘๖ ปี ๙ เดือน ๒๔ วัน พรรษา ๔๔

คัดลอกจากหนังสือ ชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม ; พิมพ์ปี ๒๕๓๗
-------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาบุญที่มา FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco