พระชยสาโร ภิกขุ สถานพำนักสงฆ์อาศรมพิชิตมาร บ.ไร่ทอสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา


๏ ประวัติและปฏิปทา พระอาจารย์ชยสาโร ๏ 
     วันนี้วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นวันเจริญอายุวัฒนมงคล ครบรอบ ๖๖ ปี พระธรรมพัชรญาณมุนี หรือท่านพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ แห่งสถานพำนักสงฆ์ อาศรมพิชิตมาร บ้านไร่ทอสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ท่านเป็นผู้มีศรัทธาในพลังแห่งพระพุทธศาสนา จนได้ชื่อว่าเป็นพระฝรั่งที่ถ่ายทอดความลึกซึ้งทางธรรมฉบับภาษาไทยได้สละสลวย และเป็นที่ประทับใจต่อพุทธศาสนิกชนทั่วโลก

• #กําเนิดในประเทศที่ไม่มีพระพุทธศาสนา
ท่านพระอาจารย์ชยสาโร มีนามเดิมว่า ฌอน ชิเวอร์ตัน(Shaun Chiverton) เป็นบุตรนายเคน ชิเวอร์ตัน และนางจูน ชิเวอร์ตัน กำเนิดเมื่อวันที่ ๗ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๐๑ ณ เกาะ Isle of Wight ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ จากนั้นผู้เป็นบิดาและมารดาจึงได้อพยพครอบครัวไปอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศอังกฤษ บ้านของพ่อแม่อยู่ในชนบท บ้านที่อยู่นั้นเท่ากับอําเภอที่ต่างจังหวัดในเมืองไทย พลเมืองหมื่นกว่าๆ

ตอนเป็นเด็กสุขภาพไม่ดี เป็นโรคหอบหืดทุกปี มีหลายวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ทําให้หนุ่มณอน เกิดนิสัยชอบอยู่คนเดียว ชอบอ่านหนังสือ แม้จะต้องหยุดโรงเรียนบ่อย แต่ก็ได้ใช้เวลาในการศึกษาด้วยตนเอง ด้วยความเป็นคนที่ช่างคิด ช่างค้นคว้า ชอบคิดพิจารณาเรื่องชีวิตของตัวเอง สิ่งที่สนใจจริงแล้วก็คืออะไรคือสิ่งสูงสุดที่เราจะได้จากการเป็นมนุษย์ อะไรคือความจริงสากลที่ไม่ขึ้นอยู่กับสมมุติของแต่ละสังคม ทำไมคนเราอยากจะอยู่อย่างเป็นมิตร แต่กลับรบราฆ่าฟันกันอยู่เรื่อยไป

พออายุได้ ๑๕ - ๑๖ ปี ร่างกายสังขารก็มีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ และความคิดก็มีการวิวัฒนาการเช่นเดียวกัน เกิดความสงสัยว่า “เราเกิดมาทําไม สิ่งที่สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้คืออะไร ในโลกนี้มีชีวิตที่ประเสริฐไหม และชีวิตที่ประเสริฐคืออะไร”

เมื่อเกิดความสงสัยอย่างนี้ขึ้นมาแล้วค่อนข้างฟุ้งซ่าน บางทีนอนไม่หลับ รู้สึกว่าเป็นปัญหาสําคัญมากที่จําเป็นต้องหาคําตอบให้ได้ แต่สิ่งที่แปลกก็คือว่า เพื่อนๆ ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสําคัญเลย พูดกับเพื่อนๆ เหมือนพูดกันคนละภาษา อยู่กันคนละโลก หนุ่มณอนได้คุยกับครูที่โรงเรียนก็เหมือนกัน มีความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ว้าเหว่ เหมือนกับว่าเราเป็นคนเดียวในโลกที่มีความคิดอย่างนี้ แต่โชคดีที่บ้านของหนุ่มฌอน อยู่ห่างจากเคมบริดจ์ไม่กี่กิโลเมตร วันเสาร์หนุ่มณอนมักจะขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวเมืองเคมบริดจ์ แต่ไม่ได้ไปเที่ยวดูอะไรพิเศษ ไปอยู่ที่ร้านหนังสือ เมืองเคมบริดจ์มีร้านหนังสือเยอะแยะ และนั่นส่วนมากผู้ที่ทํางานในร้านหนังสือเป็นนิสิตเก่า เขาเห็นใจนักศึกษายากจน ผู้คนจะไปอ่านหนังสือทั้งวันก็ไม่มีใครรบกวน บางที่หนุ่มฌอนจะไปถึงแต่เช้า หยิบหนังสือมาอ่านถึงเที่ยง หิวข้าวก็เก็บไว้ที่เดิม ออกไปกินข้าว เสร็จแล้วกลับมาอ่านต่อ อ่านหนังสือเพลินๆ ไม่ต้องเสียสตางค์ หนุ่มฌอนก็ทําอย่างนี้หลายครั้ง ชอบอ่านชอบศึกษาเรื่องจิตใจ เรื่องปรัชญา เรื่องจิตศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สนใจเรื่องเหล่านี้

จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบหนังสือคําสอนของพระพุทธเจ้า หนุ่มฌอนอ่านหนังสือหน้าแรกสะดุ้ง เกิดความศรัทธาเลื่อมใสว่า นี่คือความจริง ไม่มีความรู้สึกว่า เป็นปรัชญาของเอเชีย หรือเป็นของแปลกๆ แต่หนุ่มฌอนมีความรู้สึกเหมือนกับว่า “พระพุทธเจ้า” สามารถเอาความคิดที่ลึกซึ้งของเราออกมาพูดเป็นภาษาคน เพราะฉะนั้น การได้พบพระพุทธศาสนา เท่ากับได้พบตัวเอง ทําให้เข้าใจการสอนของพระพุทธศาสนาว่า.. “พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่อง “ตํารา” ไม่ใช่เรื่องของวัดวา ไม่ใช่เรื่องของนักบวช เป็นเรื่องของเราทุกคน เรื่องของหัวใจมนุษย์”

สิ่งที่ประทับใจมากในหนังสือเล่มนั้นสําหรับหนุ่มณอน คือคําสอนที่เกี่ยวกับจิต หมายถึงจิตที่ บริสุทธิ์ สะอาดโดยธรรมชาติ พระพุทธศาสนาสอนว่า “จิตใจของเราโดยธรรมชาติ จิตเดิมแท้เป็นจิตที่ใสสะอาด จิตนี้หลงอารมณ์ เกิดความเข้าใจผิด เกิดความคิดผิดเกี่ยวกับตัวเอง ชีวิตของตนเอง และความคิดผิดนี้กลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกต่างๆ ว่าฉัน ว่าของฉัน มีการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่เป็นฉัน ของฉัน และสิ่งที่ไม่ใช่ของฉัน เกิดความขัดแย้ง เกิดความบาดหมาง ระหว่างความนึกคิดของตัวเอง และความจริงของธรรมชาติอันนี้ เรียกว่าทุกข์ จิตเป็นทุกข์” ที่นี้หนุ่มฌอน มีความเชื่อมั่นว่า นี่คือความจริง หนุ่มฌอนเชื่อว่า ปัญญาเกิดจากประสบการณ์ จึงออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ประเทศอังกฤษ 

ภายหลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว หนุ่มณอนตัดสินใจออก เดินทางระเหเร่ร่อน หาประสบการณ์ชีวิต ตั้งใจไปทางยุโรปและเอเชีย ยิ่งลําบากยิ่งชอบ เพราะรู้สึกว่าความลำเค็ญจะช่วยให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ถือเป็นกําไรชีวิต คนไทยไม่ใช่น้อยที่คุ้นเคยกับคําสอนของพระพุทธศาสนาจนประมาท ฟังมามากแล้ว ฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ หรือบางทีสัปหงก แต่ว่าชาวตะวันตกมีความรู้สึกอีกอย่าง เพราะหลักของศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นศาสนาประจําชาติของพวกเขา หรือประจําทวีปก็ว่าได้ สอนว่า “จิตเดิมแท้ของมนุษย์เป็นของสกปรกมี Original Sin หรือบาปเดิม” ซึ่งทําให้คนมีความรู้สึกว่าแท้จริงแล้ว จิตใจของเรานี้เศร้าหมองโดยธรรมชาติ แม้ว่าเราอาจจะทําความดีบางอย่าง ความจริงแล้วมันเป็นแค่การบังกิเลสมากกว่า คือความดีและความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ของแท้จริง สิ่งที่แท้จริงของเราก็คือกิเลส ทําให้ชาวตะวันตกมักรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีอยู่เสมอ แต่คําสอนของพระพุทธเจ้าก็ตรงกันข้าม

พระพุทธองค์ตรัสว่าจิตเดิมแท้ของมนุษย์เป็นของสะอาด ถ้าพูดในแง่ของการปฏิบัติ ทฤษฎีนี้มีความสําคัญมาก เพราะถ้าถือว่าจิตเดิมแท้ของเราเป็นของสกปรก เราจะไม่มีกําลังใจที่จะขัดเกลาตัวเอง เพราะว่ายิ่งขัดเกลายิ่งเจอแต่ความสกปรก การขัดเกลาสิ่งสกปรกโดยธรรมชาติ ให้เป็นของสะอาดเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเนื้อแท้ของจิตใจเราสะอาดโดยธรรมชาติ และเศร้าหมองเพราะหลงอารมณ์ว่าเป็นอัตตา ตัวตน

การขัดเกลามีความหมาย และความสําคัญด้วย มีความจําเป็นด้วย ผู้ใดซาบซึ้งในข้อนี้มาก จะมีความรู้สึกว่าการขัดเกลากิเลส การแสวงหาความบริสุทธิ์เดิมแท้ของจิตนั้นเป็นสิ่งสูงสุดในชีวิตมนุษย์ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หนุ่มฌอน มีความมั่นใจว่าจะดําเนินชีวิตในรูปแบบอย่างไรก็ตาม จะประกอบอาชีพอย่างไรก็ตาม การประกอบอาชีพ การดําเนินชีวิตนั้นต้องเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ทางใจ

• #ออกเดินทางแสวงหาประสบการณ์
หนุ่มฌอนมีนิสัยแปลกอยู่อย่างนึงตั้งแต่ยังเด็ก คือ ชอบทุกอย่างที่เป็นอินเดีย หนังภาพยนต์อินเดีย อาหารของอินเดียก็ชอบกิน ดนตรีอินเดียก็ชอบฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับอินเดียถูกใจตนเหลือเกิน เพราะฉะนั้น เมื่อหนุ่มฌอนจบไฮสคูลสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เรียบร้อยแล้ว จึงไปขออนุญาตจากคุณพ่อ ขอไปหาประสบการณ์ต่างประเทศก่อนที่จะได้เรียนต่อ

เมื่อคุณพ่อท่านอนุญาตแล้ว หนุ่มฌอนจึงได้ออกไปทำงานที่โรงงาน ๓ เดือนแล้วออกเดินทางไปประเทศอินเดีย ซึ่งหนุ่มฌอนตั้งใจว่าจะไปทางบก ก็เลยข้ามไปเบลเยี่ยม เยอรมัน ออสเตรีย ยูโกสลาเวีย กรีซ ตุรกี อิหร่าน ปากีสถาน ในที่สุด ถึงอินเดีย ใช้เวลาเดินทางเกือบ ๒ เดือน

การเดินทางของหนุ่มฌอนนั้น บางทีก็ไปรถไฟ บางทีก็โบกรถสิบล้อไป ไปง่ายๆ ค่ำที่ไหนก็นอนพักที่นั่น พบกับคนหลายชาติหลายประเทศวัฒนธรรมต่างๆ หนุ่มฌอนสังเกตในการเดินทางว่า ทุกประเทศที่ผ่าน ทุกชาติ ทุกชุมชน ต้องถือว่าจารีตประเพณีของเขาถูก ของประเทศอื่นๆ ผิด หรือว่าของเขาดีที่สุด หนุ่มฌอนเลยได้ความคิดว่า คนทุกคนมักจะมีมากที่เข้าข้างตัวเองว่าของเขาดีกว่าของคนอื่น 

หนุ่มฌอนเดินทางมาถึงประเทศอินเดีย แล้วก็เที่ยวบ้าง ไปอยู่ตามวัดตามวาบ้าง อยู่ที่วัดฮินดูบ้าง อยู่ที่วัดพุทธบ้าง ตอนนั้นหนูฌอนสนใจเรื่องศาสนาพุทธนิกายเซนมาก ชอบไปทำวัตร นั่งสมาธิที่วัดเซนเป็นประจำ ต่อมาได้ขึ้นภูเขาหิมาลัยไปอยู่กับพระธิเบตที่ธรรมศาลา ซึ่งเป็นที่ประทับของดาไลลามะ ช่วงนั้นหนุ่มฌอนเริ่มนั่งสมาธิภาวนา แต่มีปัญหาอยู่ว่าไม่ได้ตั้งใจกับวิธีกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่มีการเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะว่าไปที่ไหนก็มักจะพบว่าคนที่ทำต่างๆ กัน บางทีก็ลองทำสมาธิดู พบคนที่ทำแบบเซนก็เปลี่ยนทำแบบเซนบ้าง ต่อมาก็สนใจอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำอีกอย่างหนึ่งกลับไปกลับมา จิตใจก็ไม่สงบ เห็นว่าการที่เราจะก้าวหน้าในการปฏิบัติต้องเลือกอารมณ์กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง และความจงรักภักดีต่ออารมณ์นั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคนิค หากอยู่ที่จิตใจของเราที่อยากจะได้วิธีการที่ดีที่สุด ลองปฏิบัติกับวิธีการใดวิธีการหนึ่งก็เกิดปัญหาขึ้นมา เกิดนิวรณ์ เลยสงสัยว่า เลือกอารมณ์ไม่ถูก ลองทำอย่างอื่นบ้าง ก็อาจไม่ต้องประสบปัญหา ซึ่งนิวรณ์นี้ ต้องถือว่าเป็นของธรรมดา ปฏิบัติด้วยอารมณ์กรรมฐานไหน เราต้องมีความอดทนต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติ นิวรณ์เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ควรถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย สิ่งที่กระตุ้นสติปัญญาให้ตื่นขึ้นทำงาน เป็นสิ่งที่ช่วยให้การปฏิบัติของเราเข้มแข็ง

หนุ่มฌอนตอนนั้นยังเป็นนักปฏิบัติจับจด เอาอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง ก็ไม่สงบเท่าไร แต่ต่อมาหนุ่มฌอนได้พบกับพระองค์หนึ่ง ซึ่งความจริงท่านเป็นนักบวชฮินดู แต่การประพฤติของท่านน่าเลื่อมใสมาก ท่านเป็นผู้ที่มีความมักน้อยสันโดษ และวิธีการปฏิบัติของท่านก็ไม่ต่างกันกับของพุทธเท่าไรนัก หนุ่มฌอนจึงขออยู่กับท่าน คล้ายเป็นลูกศิษย์ ตอนนั้นหนุ่มฌอนอายุได้ ๑๘ ปี และรู้สึกเลื่อมใสท่านมาก อยากอยู่กับท่านประจำ แต่ท่านก็คัดค้าน ท่านบอกว่า เธอยังหนุ่มเกินไป แล้วท่านก็ย้ำว่า ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อแม่ที่จะอยู่อย่างนี้ ที่จะเป็นสมณะอย่างนี้ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล ซึ่งหนุ่มฌอนฟังเหตุผลนี้ก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะเหตุที่เป็นชาวตะวันตกไม่ค่อยรู้สึกถึงบุญคุณพ่อแม่ ผู้ที่เคยศึกษาภาษาอังกฤษคงรู้คำว่า บุญคุณพ่อแม่ จะแปลเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่มีคำใช้เพราะชาวตะวันตก ไม่ค่อยมีความรู้สึกในสิ่งนี้

ตอนนั้นก็อยู่ฝั่งทะเลสาบที่ชาวฮินดูถือว่าขลังศักดิ์สิทธิ์ ยังกลางทะเลสาบก็ดี เป็นครั้งแรกที่ทำความเพียรอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่เกิดขึ้นในใจของหนุ่มฌอนในสมัยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้คาดหวังหรือไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น ผลของการปฏิบัติเคยคิดว่าจะเป็นทำนองที่ว่า จิตเยือกเย็นไม่มีความคิดฟุ้งซ่าน เกิดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์อะไรทำนองนั้น

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ กลับเป็นความรู้สึก รักพ่อแม่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของพ่อแม่ หนุ่มฌอนแปลกใจทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ในที่สุดก็ตัดสินใจกลับบ้านแล้วเดินทางกลับอังกฤษ แต่การเดินทางไปอินเดียของหนุ่มฌอนครั้งนี้ผิดหวังนิดหน่อย คือไม่ได้ท้าทายอย่างที่คาดหวัง ขากลับจึงตัดสินใจลองเดินทางจากปากีสถานไปยังอังกฤษโดยไม่ใช้เงิน โบกรถไปเรื่อยๆ อยากรู้ว่าเป็นไปได้ไหม อยากจะทราบความรู้สึกของผู้ไม่มีอะไรอย่างลึกซึ้ง ผจญภัยเยอะโชกโชนและผ่านเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือน

พอถึงเตหะราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน หนุ่มฌอนรู้สึกจะหมดแรงแล้ว ผอมแห้งบักโกรกเสื้อผ้าก็มอมแมมกระดำกระด่างดูน่าเกลียดพอสมควร เห็นหน้าตนเองในกระจกห้องน้ำสาธารณะก็ตกใจตัวเอง ส่วนใจก็กังวลหมกมุ่นแต่ในเรื่องอาหารการกิน "วันนี้เราจะมีอะไรทานไหมหนอ? "

แต่ละวันท้องจะอิ่มจะว่างก็แล้วแต่น้ำใจของเพื่อนมนุษย์ หนุ่มฌอนจำเป็นต้องพึ่งบารมีเพราะไม่มีอย่างอื่น พอดีเจอผู้ชายอิหร่านคนหนึ่งเป็นชาวอิสลาม เขาสงสารและอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วย เขาจึงพาหนุ่มฌอนไปกินน้ำชา แล้วให้สตางค์เล็กๆ น้อยๆ 

กลางคืนหนุ่มฌอนจึงพักข้างถนนในซอยเงียบๆ กลัวว่าตำรวจเห็นจะซ้อม รุ่งเช้าเดินไปร้านขายซุปแห่งหนึ่ง ซึ่งจำได้ว่าซื้อซุปหนึ่งถ้วยแล้วเขาให้ขนมปังฟรี ในขณะที่กำลังเดินไปโดยพยายามไม่มองร้านอาหารข้างทางที่ดึงดูดตาเหลือเกิน ไม่ดมกลิ่นหอมที่โชยมาขณะนั้นหนุ่มฌอนได้สวนทางกับผู้หญิงคนหนึ่งเขาเห็นหนุ่มฌอนแล้วก็หยุดชะงักจ้องมองหนุ่มฌอนอย่างตะลึง สักพักแล้วเดินตรงมาหาหน้าบูดบึ้ง แล้วสั่งให้หนุ่มฌอนตามไปโดยใช้ภาษามือ

หนุ่มฌอนเป็นนักแสวงหา เลยยอมตามไป เดินไปสัก ๑๐ นาทีก็ถึงตึกแถว ขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นที่ ๔ สันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเขา แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่พูดไม่จาอะไรเลยยิ้มก็ไม่ยิ้ม หน้าถมึงทึงตลอด

พอเปิดประตูเข้าไปปรากฏว่าเป็นบ้านของผู้หญิงคนนี้จริงๆ ผู้หญิงผู้นั้นพาเข้าไปในห้องครัว แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ให้นั่ง เมื่อนั่งแล้ว หญิงนั้นจึงนำอาหารมาให้ทานหลายๆ อย่าง หนุ่มฌอนรู้สึกเหมือนกับขึ้นสวรรค์ทำให้รู้ว่าอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกคืออาหารที่ทานในขณะที่หิวและท้องร้องจ๊อกๆ

ต่อมาผู้หญิงนั้นเรียกลูกชายมา สั่งอะไรก็ไม่รู้เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่หนุ่มฌอนสังเกตว่า ลูกดูจะอายุไล่เลี่ยกับตน สักพักใหญ่ ลูกชายก็กลับมาด้วยกางเกงและเสื้อเชิ้ตชุดหนึ่ง พอผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าหนุ่มฌอนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ชี้ไปที่ห้องน้ำสั่งให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ หญิงผู้นั้นก็ยังไม่ยิ้มไม่แย้ม ไม่พูดจาอะไรเลย มีแต่สั่งอย่างเดียว

ขณะที่หนุ่มฌอนอาบน้ำอยู่ก็คิดสันนิษฐานว่า "แม่คนนี้ อาจเห็นเรา แล้ววาดภาพนึกถึงลูกชายตัวเองว่า ถ้าสมมุติว่าลูกเราเดินทางไปต่างประเทศแล้วตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ อยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไร" 

ฉะนั้น หนุ่มฌอนจึงคิดว่าเขาช่วยตนเองด้วยความรักของแม่ เลยคิดแต่งตั้งผู้นั้นเป็นแม่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองอิหร่าน

หนุ่มฌอน ยืนยิ้มหน้าบานอยู่ในห้องน้ำคนเดียว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว หญิงผู้นั้นก็ไปส่งหนุ่มฌอนตรงจุดที่ได้เจอกัน แล้วเดินลุยเข้าไปในกระแสชาวเมืองที่กำลังเดินไปทำงาน หนุ่มฌอนยืนมองผู้หญิงอิหร่านคนนั้นถูกหมู่ชนกลืนไป ตนรู้อย่างแม่นยำว่าชาตินี้ คงไม่มีวันลืมเขาได้ หนุ่มฌอนประทับใจและซาบซึ้งมากน้ำตาทำท่าจะไหลคลอ

"เขาให้เราทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลยตัวสูงๆ ผอมๆเหมือนไม้เสียบผีจากป่าช้าที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าก็เหม็นสกปรก ผมก็ยาวรุงรัง แต่เขากลับไม่รังเกียจเลย มิหนำซ้ำยังพาเราไปบ้านและดูแลเหมือนเราเป็นลูกของเขาเองโดยไม่หวังอะไรตอบแทนจากเราแม้แต่การขอบคุณ"

หนุ่มฌอนรำพึงเวลาผ่านไป หนุ่มฌอนจึงอยากประกาศคุณของพระโพธิสัตว์หน้าบูดคนนี้ให้ทุกคนได้ทราบว่า แม้ในเมืองใหญ่ๆ ก็ยังมีคนดีและอาจมีมากกว่าที่เราคิด ไม่ใช่เพียงแค่คนนั้นคนเดียว ตอนที่หนุ่มฌอนแสวงหาประสบการณ์ชีวิตนั้น ได้รับความเมตตาอารีความช่วยเหลือเจือจานจากคนหลายๆ ชาติ ทั้งๆ ที่ หนุ่มฌอนไม่ได้ขออะไรจากใคร ทำให้หนุ่มฌอนตั้งใจว่า มีโอกาสเมื่อไหร่ต้องช่วยคนอื่นบ้าง ก็มีส่วนแห่งการสืบอายุของน้ำใจในหมู่มนุษย์ แม้สังคมทั่วไปจะอัตคัต กันดารคุณคุณงามความดีเพียงไร แต่ขอให้เราพยายามเป็นแหล่งเขียวเล็กๆ แก่เพื่อนร่วมโลกก็ยังดี

ต่อมาหนุ่มฌอนได้กลับไปอยู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง พักปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์สายฮินดูองค์หนึ่งท่านน่าเลื่อมใสมาก มีข้อวัตรปฏิบัติคล้ายกับของพุทธ อยู่กับท่านมีเวลานั่งคิดไตร่ตรองชีวิตของตนเองมาก ตอนบ่ายชอบเดินขึ้นเขาไปนั่งใต้ต้นไม้เก่าแก่ท่ามกลางสายลม ดูทะเลสาบข้างล่างและทะเลทรายที่เหยียดยาวออกไปถึงขอบฟ้า ความคิดก็ปลอดโปร่งดี แล้ววันหนึ่งก็นั่งนึกแปลกใจตัวเองว่า เมื่อไหร่ที่เราระลึกในความมีน้ำใจของผู้ที่เคยเกื้อกูลการเดินทางของเรา ให้อาหารบ้าง ให้ที่พักสักคืนสองคืนบ้าง เราจะรู้สึกทึ่งทุกครั้ง แต่ทำไม พ่อแม่เลี้ยงเรามา ๑๘ ปี ให้อาหารทุกวันไม่เคยขาด วันละสามมื้อบ้าง สี่มื้อบ้าง และยังเป็นห่วงว่าจะไม่ถูกปากเราอีก ท่านให้ทั้งเสื้อผ้าและที่นอน ยามป่วยไข้ท่านก็พาไปหาหมอ และเหมือนว่าท่านจะเป็นทุกข์มากกว่าเราเสียอีก ทำไมเราไม่เคยซึ้งในเรื่องนี้เลย? 

มันไม่ยุติธรรมและน่าละอาย สำนึกตัวว่าประมาทเหลือเกิน ในขณะนั้นเหมือนเขื่อนพัง ตัวอย่างความดีของพ่อแม่ไหลทะลักเข้ามาในจิตจนตื้นตันใจมาก นี่คือจุดเริ่มต้นของการรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ในชีวิตของหนุ่มฌอน ชิเวอร์ตัน

หนุ่มฌอนคิดต่อไปว่า "ตอนคุณแม่ท้องก็คงลำบาก ในช่วงแรกคงแพ้ท้อง ต่อมาการเดิน การเหิน การเคลื่อนไหวทุกประเภทคงไม่สะดวกไปหมด ปวดเมื่อย แต่ท่านก็ยอม เพราะเชื่อว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นมีความหมาย และความหมายนั้น คือ เราตอนเด็ก เราต้องอาศัยท่านหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำไมเรารู้สึกเฉยๆ เหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องให้และเป็นสิทธิของเราที่จะรับ"

ต่อมาเลยสำนึกว่า "ที่มีโอกาสปฏิบัติธรรมเป็นที่พึ่งของตน ก็อาศัยที่ว่า คุณพ่อคุณแม่เคยเป็นที่พึ่งอันมั่นคงแก่เราในกาลก่อน ทำให้จิตใจเรามีฐานที่เข้มแข็งพอที่จะสู้กับกิเลสของเราได้" หนุ่มฌอนระลึกบุญคุณของผู้เป็นบิดามารดา

• #ประสบการณ์มิใช่แหล่งปัญญาที่แท้จริง
ในชีวิตของหนุ่มฌอนเองเรื่องความสุขและเรื่องปัญญารู้สึกว่ามีความเกี่ยวเนื่องกันมาโดยตลอด ตอนที่หนุ่มฌอนเร่ร่อนหาประสบการณ์ชีวิต ได้เดินทางไปหลายประเทศ อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปีก็เที่ยว ๒๐ กว่าประเทศแล้ว หาประสบการณ์ด้วยมีทิฐิคือความเข้าใจหรือความเชื่อว่า ความสุข คือปัญญาและปัญญาเกิดจากประสบการณ์ หนุ่มฌอนเลื่อมใสในคำว่าปัญญาตั้งแต่เด็ก มีความเชื่อเดิมเรื่องความสุขตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่ทราบว่ามันเกิดมาจากปัญญา เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่เจอคำสอนทางพระพุทธศาสนา ยังไม่รู้ว่าปัญญาคืออะไร นอกจากคิดว่าปัญญาเป็นผู้มีพลังสามารถแก้ไขได้ทุกอย่าง เราอยู่ที่บ้านในชนบทประสบการณ์มันน้อย กลัวปัญญาจะไม่เกิด ต้องไปผจญภัยต้องฝ่าฟันอุปสรรคที่ยากลำบากและอันตราย มันถึงจะดี จึงจะเกิดมีปัญญาแล้วมีความสุข

หนุ่มฌอนจึงออกจากบ้านเที่ยวระเหเร่ร่อนไป ลองนั่นลองนี่ รู้สึกพอใจว่าได้กำไรทุกวัน ณ ต่างแดนเป็นเวลา ๒ ปี 

วันหนึ่งหลังจากไม่ได้อยู่บ้านเกือบ ๒ ปี หนุ่มฌอนนั่งอ่านหนังสือรวบรวมพระสูตร อ่านแล้วสะดุ้ง ในพระสูตรพระสูตรหนึ่ง พระพุทธองค์ตรัสว่า...
" พระตถาคตจะสอนเธอทั้งหลายถึงเรื่องทั้งหมด เรื่องทั้งหมดคืออะไร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เหล่านี้คือทั้งหมดในชีวิตของมนุษย์"

หนุ่มฌอนได้ฉุกคิดทันที สำนึกตัวเลยว่า "การหาประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นแต่การสะสมสัญญาเท่านั้น ที่เราได้เห็นอะไรๆ แปลกประหลาดหลายอย่าง สิ่งที่สวยงาม เช่น พระอาทิตย์ขึ้นจากยอดภูเขาหิมาลัย พระอาทิตย์ตกที่ทะเลอันดามัน สิ่งที่ทั้งน่าเกลียดและน่าสงสาร เช่น กลุ่มคนพิการขอทานในเมืองกัลกัตต้า ฝูงหมาแย่งไส้ของซากเด็กริมแม่น้ำคงคา ฯลฯ ทั้งหมดที่ได้เห็นมา ก็สักแต่ว่ารูปเท่านั้น

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่ได้ยิน เช่น เสียงอิหม่ามเรียกชาวมุสลิมไปสุเหร่า ดนตรีอินเดียที่แสนละเอียดลึกซึ้ง เสียงนกยูงร้องหากันในยามพลบค่ำชานหมู่บ้านกลางทะเลทราย เสียงประทับใจที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็มีอีกเยอะ แต่ทั้งหมดนั้น สักแต่ว่าเสียงเท่านั้นเอง

กลิ่นหอมกระสอบเครื่องเทศในตลาด กลิ่นเหม็นควันจากโรงงานในเมืองอุตสาหกรรม ก็สักแต่ว่ากลิ่นเท่านั้น

รสอาหารอิหร่าน อาหารตุรกี อาหารอินเดียเหนือ อาหารอินเดียใต้ ก็เป็นแค่รสเท่านั้นเอง

ลมฤดูใบไม้ผลิในภูเขาเอลป์โชยลูบไล้ใบหน้า ความแน่นขนัดในรถไฟอินเดีย ก็สักแต่ว่า โผฐัพพะ คือ ความเย็น ร้อน อ่อน แข็ง เท่านั้น

ความนึกคิดต่างๆ ความคิดดี คิดชั่ว ความตื่นเต้น ความกลัว ความกล้า จินตนาการ ก็สักแต่ว่าธรรมารมณ์เท่านั้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่สัมผัสแล้วเดี๋ยวนี้สิ่งเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนกัน หนุ่มฌอนถามตนเอง ก็ได้คำตอบว่า "เหมือนความฝันเหลือแต่ความทรงจำคือสัญญา"

หนุ่มฌอนประจักษ์อยู่กับใจว่า จะไปที่ไหนต่อก็ไม่ได้อะไรมากกว่านี้ การท่องเที่ยวพอแล้ว ปัญญาที่จะได้จากการแสวงหาต่อไป คงยังผิวเผิน ความสุขที่จะได้ก็ยังกวาดแกว่ง ปัญญาและความสุข ที่ตนต้องการอยู่ภายในมากกว่า 

หนุ่มฌอนได้ทบทวนการปฏิบัติเห็นแล้วว่า คำสอนที่ถูกใจหนุ่มฌอนมากที่สุด ที่มั่นใจมากที่สุด คือคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้พยายามปฏิบัติตามหลักนี้ให้เต็มที่ต่อไป 

สุดท้ายก็มีเหตุจากปัจจัยภายนอกทำให้ท่านต้องเดินทางกลับ ท่านเดินทางไปทั่ว จนแน่ใจว่าการศึกษาและปฏิบัติธรรม อันเป็นหนทางที่ต้องการแทนการเรียนต่อในมหาวิทยาลัย โดยท่านใช้เวลาค้นหาสิ่งที่ท่านต้องการตั้งแต่อายุ ๑๗ ปี ใช้เวลา ๒ ปี 

• #หันเหชีวิตสู่มหาวิทยาลัยแห่งสัจธรรม
คุณพ่อของหนุ่มฌอน ชิเวอร์ตัน มาจากตระกูลที่ยากจนมาก ยังไม่เคยมีใครในตระกูลที่เคยได้เรียนหนังสือสูง หรือเข้ามหาวิทยาลัยคุณพ่อจึงหวังมากในตัวหนุ่มฌอน ซึ่งเรียนหนังสือดีมักสอบได้ที่ ๑ ทุกปี พ่อก็มีความหวังว่าหนุ่มฌอน จะได้เข้ามหาวิทยาลัย oxford ได้ปริญญาเอก ต่อไปได้ เป็นศาสตราจารย์ ท่านมีความหวังมากเป็นความหวังที่สำคัญในหัวใจของท่าน หนุ่มฌอนรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ว่าตอนที่กลับไปอังกฤษ มีความรู้สึกว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่การปฏิบัติธรรม หลังจากที่หนุ่มฌอนได่กลับมาจากอินเดียนั้น ก็ได้ทบทวนการปฏิบัติเห็นแล้วว่า คำสอนที่ถูกใจหนุ่มฌอนมากที่สุด ที่มั่นใจมากที่สุด คือคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้พยายามปฏิบัติตามหลักนี้ให้เต็มที่ต่อไป แต่รู้ว่า อยู่เป็นฆราวาสยากที่จะเอาจริงเอาจัง รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน 

ยังไงๆ หนุ่มฌอนรู้ว่าการที่จะไปเรียนที่มหาวิทยาลัยต่อ เป็นไปไม่ได้ แต่เสียใจว่าในขณะที่หนุ่มฌอน ได้ซาบซึ้งในบุญคุณของพ่อแม่ และรู้ด้วยว่าสิ่งที่พ่อแม่หวังมากที่สุดของลูกคือการได้เข้ามหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่หนุ่มฌอนทำไม่ได้ ทำให้หรุ่มฌอนรู้สึกเป็นทุกข์มาก พอไปถึงบ้านก็พยายามหาโอกาสพูดกับพ่อ เพื่อบอกว่า "ผมจะเรียนต่อไปไม่ได้"

ในที่สุดก็มีโอกาสแต่พูดไม่ค่อยออก ตะกุกตะกัก อธิบายว่า ตั้งใจจะบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนา นอกจากทำให้ท่านผิดหวังเรื่องการเรียนหนังสือ มีเรื่องหนึ่งคือ คุณพ่อของหนุ่มฌอนเป็นคนที่มีอคติต่อศาสนา เป็นยาเสพติดของประชาชน เป็นของหลอกลวง แล้วท่านเหมาเอาว่า ศาสนาทุกศาสนาเหมือนกัน ลูกจะออกจากโลก บวชเป็นพระจึงเป็นสิ่งที่ขัดใจท่านมากเหมือนกัน แต่หนุ่มฌอนลองอธิบายให้ท่านฟัง ฟังแล้วท่านบอกว่า 

"เรื่องพระพุทธศาสนานี้ พ่อไม่เคยศึกษาไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งที่พ่อต้องการมากที่สุด คือต้องการให้ลูกมีความสุข ถ้าลูกเห็นว่าบวชเป็นพระแล้วจะมีความสุขก็พอใจแล้ว 

หนุ่มฌอนก็รู้สึกว่าน้ำตาจะไหลนองอาบแก้มต้องขอตัวออกจากห้องวันนั้นเป็นวันที่หนุ่มฌอนเข้าใจเรื่องความรักความรักที่แท้จริง เห็นพ่อสามารถเสียสละความหวังความต้องการของตัวเอง โดยไม่ได้หวังอะไรเลยนอกจากปรารถนาให้ลูกมีความสุข 

วันนั้นเป็นวันสำคัญมากในชีวิตของหนุ่มฌอน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา รู้สึกว่าความเคารพรักในคุณพ่อเพิ่มมากขึ้น ทวีขึ้นอย่างมาก และหนุ่มฌอนก็ได้เข้าใจเรื่องความรักด้วยว่า "ความรักนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักที่ไม่มีตัณหาหรือความต้องการใดๆ เข้าไปแอบแฝงเป็นความรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน มีแต่ให้ ไม่มีความคิดว่าจะเอา"

ต่อมาเมื่อหนุ่มฌอนได้มาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้น โดยเฉพาะคำสอนเกี่ยวกับเรื่องเมตตา ทำให้เข้าใจเรื่องนี้ละเอียดขึ้น เมตตาเป็นความรักที่ประกอบด้วยธรรมะ เป็นความรักที่สม่ำเสมอในสรรพสัตว์ทั้งหลาย

• #ชีวิตใต้ผ้ากาสาวพัสตร์
จนเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๑ ท่านได้พบและเริ่มปฏิบัติกับพระอาจารย์สุเมโธ (พระราชสุเมธาจารย์ ในปัจจุบัน และเป็นพระชาวต่างชาติรูปแรกที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชา) ที่วิหารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ และได้ถือเพศเป็น อนาคาริก (ปะขาว) อยู่กับท่านพระอาจารย์สุเมโธ ถือศีล ๑๐ เป็นเวลา ๑ พรรษา แล้วเดินทางมายังประเทศไทย

ผ้าขาวฌอนได้มาปฏิบัติธรรม ณ วัดหนองป่าพงประมาณ ๖ เดือน จากนั้นจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๒ ในช่วงที่เดินทางมาถึงประเทศไทย สามเณรฌอนก็ได้เริ่มศึกษาเรียนรู้ หัดอ่านสามารถพูดฟังภาษาไทยเขียนภาษาไทยได้อย่างชัดเจนถูกต้อง แม้สามเณรฌอน ท่านจะได้ปฏิบัติธรรมมาบ้าง เมื่ออยู่กับท่านพระอาจารย์สุเมโธมาแล้วก็ตาม แต่หลวงพ่อชาก็ยังไม่บวชให้ ท่านรับการฝึกฝนเคี่ยวเข็ญด้วยอุบายต่างๆ จากหลวงพ่อชา ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลวงพ่อชาถามว่า อยากบวชไหม หากบอกว่า อยาก ท่านก็จะตอบว่า ยังไม่ให้บวช จนกว่าจะตอบว่า " แล้วแต่หลวงพ่อ " ท่านจึงได้บวช โดยอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ขณะมีอายุ ๒๒ ปี ที่วัดหนองป่าพง โดยมี พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระอาจารย์บุญชู ฐิตคุโณ (วัดเขื่อนโพธิญาณ) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๓ ได้รับฉายาว่า "#ชยสาโร"

ก่อนเดินทางมาประเทศไทย ท่านได้ตั้งใจว่าจะอยู่ที่วัดหนองป่าพง ให้ครบ ๕ ปี โดยไม่มีเงื่อนไขเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม เมื่อมาพบหลวงพ่อชา ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาและความเป็นครูที่มีทั้งเมตตา และปัญญาในการสอนอย่างลึกซึ้ง จึงสามารถทนต่อความยากลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตแบบพระวัดป่า ที่เข้มงวดในวินัย และการฝึกปฏิบัติตามรอยพระพุทธเจ้า และการอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์ชาวไทยจนเกิดความก้าวหน้าและเบิกบานในธรรม แนวการสอนของหลวงพ่อชาเน้นการปฏิบัติการรักษาศีล และข้อวัตรปฏิบัติ ความอดทน ความเพียร การใคร่ครวญหลักธรรม และน้อมมาสู่ใจให้เฝ้าสังเกตจนรู้ทันอารมณ์ของตนเอง และสามารถใช้สติปัญญาในการสร้างประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นพร้อมกันไป ทำให้ท่านผูกพันกับหลวงพ่อชามาก

เหตุที่เลือกยึดหลักเถรวาท เพราะท่านมีความตั้งใจ ต้องการจะทุ่มเทกาย ถวายชีวิตให้กับพระพุทธศาสนา เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานและที่ชอบฝ่ายเถรวาท เพราะถูกจริต ตรงไปตรงมา ไม่มีพิธีรีตองมากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เข้ามาเกี่ยวกับกาย กับใจ กับทุกข์ การที่จะอยู่กับป่ากับ ธรรมชาติ อย่างที่สาวกพระพุทธเจ้าเคยปฏิบัติในสมัยพุทธกาล

แม้ว่าท่านจะเป็นชาวต่างชาติแต่เรื่องภาษาไม่ใช่อุปสรรค เพราะท่านเชื่อว่าภาษาพื้นฐาน คือบาลีสันสกฤต ซึ่งทั้งคนไทยและต่างชาติก็ต้องเริ่มมาเรียนรู้เหมือนกัน ภาษามีความยากพอกัน แต่คนไทยอาจจะง่ายกว่าที่ศัพท์ไทยมีบาลีสันสกฤต ท่านจึงต้องพยายามและขยันมากหน่อย แต่ก็ไม่นาน โดยท่านใช้วิธีการท่องตัวอักษรจนกระทั่งอ่านได้ จากนั้นก็อยู่คนเดียว ค่อยๆ อ่าน ดูศัพท์ในดิกชันนารี อีกทั้งอยู่กับครูบาอาจารย์ ไม่ได้เรียนทฤษฎีอะไรมากมาย ก็ปฏิบัติไปด้วย มีการพิสูจน์ไปด้วย ได้ปรึกษาหารือกับครูบาอาจารย์ ได้อ่านได้ฟัง พูดคุยกับพระด้วยกัน ทั้งหมดเป็นชีวิตของท่าน ท่านเองก็ต้องคลุกคลีกับสิ่งนี้อยู่แล้วจึงไม่ยากเท่าไร

ปัจจุบันท่านพระอาจารย์ชยสาโร พำนักอยู่อย่างสันโดษเรียบง่าย ณ สถานพำนักสงฆ์ อาศรมพิชิตมาร ณ บ้านไร่ทอสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

• #การแปลงสัญชาติเป็นกรณีพิเศษ
พระเทพพัชรญาณมุนี (สมณศักดิ์ ณ ขณะนั้นเป็น พระราชพัชรมานิต) ได้ยื่นเรื่องขอแปลงสัญชาติเป็นไทยต่อกระทรวงมหาดไทย กระทั่งวันจันทร์ที่ ๙ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๓ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้แปลงสัญชาติเป็นไทยเป็นกรณีพิเศษแก่พระเทพพัชรญาณมุนีด้วยเหตุผลที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาว่า ได้เข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน เป็นพระภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย แตกฉานในพระธรรมคำสอน มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ธรรมะทั้งในประเทศไทยและนานาชาติ กับเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติมาก่อน ถือเป็นผู้ทำคุณประโยชน์เป็นพิเศษต่อประเทศไทยและพระพุทธศาสนา

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตโต) เมตตาตั้งนามสกุลภาษาไทยให้ว่า '#โพธานุวัตน์'​

• #สมณศักดิ์
๒๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๒ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระราชพัชรมานิต พิสิฐธรรมคุณสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี 

๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๓ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระเทพพัชรญาณมุนี วิปัสสนาวิธีโกศล วิมลภาวนาวรกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

ในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ พระเทพพัชรญาณมุนีได้ถวายพระธรรมเทศนาบนธรรมาสน์ เฉพาะพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์

๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๔ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระธรรมพัชรญาณมุนี ภาวนาวิธีสุวิธาน สีลาจารสุวิมล โกศลกิจจานุกิจ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี ฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ ๖ รูป

".. คนเราเกิดคนเดียว แก่ก็แก่คนเดียว
เจ็บก็เจ็บคนเดียว ตายก็ตายคนเดียว 
เรื่องการละกิเลส การบำเพ็ญกุศล
ไม่มีใครทำให้เราได้ เป็นงานของเราโดยเฉพาะ .."
โอวาทธรรมคำสอนท่านพระอาจารย์ชยสาโร
----------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณที่มา FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco