ชีวประวัติ ปฏิปทาหลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร


๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่แบน ธนากโร ๏
     วันนี้วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันมรณภาพ ครบรอบ ๔ ปี ของหลวงปู่แบน ธนากโร วัดดอยธรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร หลวงปู่แบน ท่านเป็นพระมหาเถราจารย์ที่สำคัญรูปหนึ่งในยุคปัจจุบันนี้ ที่มีปฏิปทาเด็ดเดี่ยว มีข้อวัตรเคร่งครัด มีจริยวัตรงดงาม เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง หลวงปู่แบน ท่านให้ความสำคัญกับลูกศิษย์ทุกคนเสมอกันที่มากราบไหว้นมัสการท่าน สิ่งหนึ่งซึ่งหลวงพ่อท่านจะเมตตาสงเคราะห์กับบุคคลต่าง ๆ นั้นก็คือ “ธรรมะ” โดยท่านจะอบรมผู้ที่มากราบนมัสการท่าน และพระเณรที่อยู่ภายในวัดเป็นประจำ ส่วนวันพระนั้นท่านจะเมตตาอบรมเป็นพิเศษ ทางด้านจิตตภาวนา 

"..ความดี คือการบำเพ็ญทาน ความดี คือการรักษาศีล ความดี คือการบำเพ็ญจิตตภาวนา ให้รีบทำในขณะนี้ทีเดียว พระพุทธเจ้าทรงอุปมาไว้ เหมือนกับไฟไหม้ผมบนศีรษะให้รีบดับ ไม่ใช่ไหม้บ้านไหม้ช่องนะ ไหม้ผมบนศีรษะนี่ ต้องดับทันที การทำความดีก็ต้องรีบทำทันทีเหมือนกัน ทันทีทุกขณะ.." โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่แบน ธนากโร

“พระภาวนาวิสุทธิญาณเถร” หรือ “หลวงปู่แบน ธนากโร” แห่งวัดดอยธรรมเจดีย์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร มีนามเดิมว่า สุวรรณ กองจินดา เกิดเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๑ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง ณ บ้านหนองบัว ต.หนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายเล็ก และนางหลิม กองจินดา ครอบครัวประกอบอาชีพทำสวนทำไร่ 

ครั้นพอถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียนแล้ว โยมบิดา-โยมมารดาได้ส่งให้ท่านเข้าศึกษาในโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนจบประถมศึกษาปีที่ ๔ ครั้นจบการศึกษาแล้ว ท่านก็ได้ช่วยบิดามารดาทำสวนทำไร่ เพราะในเขตจังหวัดจันทบุรีนั้น อาชีหลักคือทำสวนเงาะ สวนทุเรียน 

เมื่ออายุ ๒๐ ปี หลวงปู่แบน ธนากโร ท่านได้เข้าไปศึกษาข้อวัตรปฏิบัติกับ หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ณ วัดทรายงาม อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านของท่าน พอทราบถึงข้อวัตรปฏิบัติแล้ว หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ จึงได้นำท่านเข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในทางพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ณ วัดเกาะตะเคียน ต.หนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี โดยมีพระอมรโมลี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูพิพัฒน์พิหารการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระเม้า เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระพุทธศาสนาว่า "ธนากโร" มีความหมายว่า " ผู้สร้างทรัพย์อันเป็นประโยชน์ให้เกิดกับตน"

๏ #การจำพรรษาของหลวงพ่อ
สมัยหลวงปู่กงมาท่านยังอยู่ พ.ศ.๒๔๙๑ ปีนั้นเราก็บวช
ปี พ.ศ.๒๔๙๑ บวชแล้วจําพรรษาปีแรกที่วัดทรายงาม จ.จันทบุรี 

พรรษาที่ ๑ มีพระจําพรรษาร่วมกัน ๙ องค์ ท่านอาจารย์เม้าเป็นหัวหน้าหมู่ ท่านเพิ่งออกมาจาก หลวงปู่มั่นปีแรก มีท่านอาจารย์เจี๊ยะ ท่านอาจารย์พรหม (หลานหลวงปู่ตื้อ ท่านพาไปเที่ยวธุดงค์ครั้งแรกด้วยกัน บั้นปลายชีวิตท่านก็มาอยู่สกลนคร ได้ดูแลอุปัฏฐากเรื่องการป่วยไข้ของท่านจนสิ้นชีวิต)

พรรษาที่ ๒ จําพรรษากับเจ้าคุณวินัยบัณฑิต ที่วัดคิรีวิหาร จ.ตราด 

พรรษาที่ ๓ และ ๔ จําพรรษาวัดทรายงาม จ.จันทบุรี

พรรษาที่ ๕ มาจําพรรษาที่วัดดอยธรรมเจดีย์นี้ พ.ศ.๒๔๙๕ 
ก่อนที่จะมานั้น ก็มีปรากฏการณ์แปลกอยู่ ปรากฏเป็นนิมิต มันได้นิมิตนะ นิมิตเห็นตรงที่หน้าโบสถ์นั่นน่ะ ลักษณะมันเห็นเป็นรูปร่างสลับกันไป เป็นที่ลาดๆ ชันๆ นั่น เอาไปเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เวลามาจริงๆ เรามาเห็นนั่น โอ้ ตรงนี้นี่ เราเคยเห็นมาก่อน มันเคยไปเกิดไปตายอยู่ตรงนั้นหรือยังไงหนอ เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันจึงเห็นขึ้นมาได้สถานที่นี้ จากนั้นจึงได้มาอยู่ใกล้ท่านพระอาจารย์ใหญ่กงมา จิรปุญโญ

ต้นๆ ปี ได้มาอาศัยอยู่กับครูบาอาจารย์ที่นี่ พระเณรระยะนั้นมีอยู่ ประมาณสัก ๖ องค์ ๗ องค์ ระหว่างนี้ล่ะ มีเณรอยู่สัก ๓ องค์ มีผ้าขาวบ้าง ๑ หรือ ๒ คน

๏ #เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า
ที่นี่แต่ก่อนเป็นดงทึบ เป็นป่าที่ไม่ใคร่จะมีผู้คนผ่านไปผ่านมา เพราะแต่ก่อนคนยังน้อย เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมูป่า มีอยู่มากเป็นฝูงๆ ในบริเวณตามซอกหินใต้เพิกหินเป็นที่อาศัยของหมูป่า เสือก็มีในบริเวณแถวนี้ เรียก ถ้ำเสือ เอาสัตว์มากินตามประสาของสัตว์ป่า มีกระดูกวัวบ้าง กระดูกควายบ้าง เต็มอยู่บริเวณที่เสือมันนอน เสือกับหมูอยู่ใกล้กัน มีพระมาอยู่แล้วถึง ๔ ปี ปีที่ ๔ ปีที่ ๕ เสือจึงหายไป ปีที่ ๑ ปีที่ ๒ บางทีเดือนหงายๆ อย่างนี้ เห็นเสือเดินผ่าน

พูดถึงถนนหนทางเข้ามาก็ไม่มี มีก็ลักษณะเป็นทางเดินหรือทางล้อทางเกวียน แต่ก็คดเคี้ยว เรียกว่าเดินไปตามป่า สมัยก่อนในบริเวณริมทางที่รถแล่นเข้ามานี่ เวลาชาวนาเขามาทำนา ตอนกลางคืนนี่ ถ้าหากว่าเขามีสัตว์เลี้ยง จะมีสุนัขหรือว่ามีหมู มีไก่ จะต้องเอามาไว้บนกระต๊อบหรือบนกระท่อมนานั้น ถ้าหากว่าเอาไว้ข้างล่าง เสือมันชอบเอาไปกิน นี่เป็นอย่างนี้ จึงว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณป่า เป็นสถานที่สงบวิเวกมาก ป่ารกมาก ท่านพระอาจารย์กงมา เห็นว่าป่านี้มันสงบวิเวกดี จึงพาบรรดาสานุศิษย์พักบําเพ็ญภาวนาอยู่ ณ สถานที่นี้

๏ #พักตามซอกหิน
ทีแรกมาอยู่กัน จําพรรษาก็จําตามซอกหินบ้าง ตามใต้เพิงหินบ้าง ไม่มีการทํากุฏิอะไร ที่เป็นกุฏิก็เพียงแต่ว่ามีฟากมาปู แล้วก็มีไม้ไผ่มาสานเป็นตาๆ แต่ละตาห่างกัน ประมาณ ๑๐ เซนติเมตร แล้วก็เอาใบไม้มาสอดเป็นฝากั้น หลังคาก็เรียกว่ามีการมุงบ้าง เพราะเพิงหินเพิกหินมันไม่กว้าง ก็มุงซีกหนึ่งบ้าง มุงส่วนที่ฝนจะสาด นี่ อยู่กันอย่างนั้น ๒ ปี ๓ ปี

๏ #เริ่มทํากุฏิ
ปีที่ ๔ มีการทํากุฏิเพิ่มขึ้น ๔ หลัง ทํากุฏิสมัยนั้น ไม้ที่ตายแล้วในบริเวณนี้มีมาก ก็ไปให้ชาวบ้านเขาเลื่อย เลื่อยมาก็มาทําพื้น ทําฝา แต่ส่วนมากก็ใช้ฝาใบไม้ ส่วนหลังคานั้นก็ใช้หญ้าบ้าง เรียกว่าหญ้าคาหรือแฝกนี่ แล้วต่อมาก็เปลี่ยนเป็นหลังคามุงไม้ หลังคามุงไม้นี่ใช้ทน ถ้าหากว่าไม้ดีๆ ๒๐ ปีใช้ได้ หลังคามุงสังกะสีก็เริ่มมีต่อๆ กันมา การทําที่อยู่ที่อาศัยส่วนมากก็ทํากันเอง

พูดถึงที่อยู่ที่อาศัย ถึงเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก นี่คือพยายามระวังเรื่องการสร้างที่อยู่ที่อาศัยหรือกุฏิที่พัก พยายามจะยับยั้ง ทําเพียงแต่ว่าพอได้อยู่ ได้อาศัยกัน ปริมาณก็ไม่ให้มากเกินไป แล้วก็คําที่เรียกว่ามุ่งเพื่อความสวยงามไม่ให้มี

๏ #การบิณฑบาต
พูดถึงอาหารการขบฉัน ไปบิณฑบาตได้มายังไงก็ฉันกันอย่างนั้น อาหารที่ไปบิณฑบาตมาได้ บางทีเขาห่อพริก บางที่เขาห่อเกลือ พริกบางทีก็มีแต่พริก เกลือบางทีก็มีแต่เกลือ บางทีก็ตําพริกกับเกลือใส่กัน จําพวกหอมกระเทียมน้ำปลาไม่มีดอก คนทางนี้ระหว่างนั้นยังไม่รู้จักน้ำปลาด้วย ถ้าหากว่าน้ำปลาก็ปลาร้า กะปินี่ก็ยังไม่รู้จัก พูดถึงแกงๆ ของเขาก็นี่ล่ะ ฤดูหน่อไม้ก็แกงหน่อไม้ แกงเห็ด เดือน ๓ เดือน ๔ ก็แกงผักหวาน แกงหน่อไม้ แกงเห็ด ๓ อย่างอันนี้ล่ะเป็นอาหารหลัก ของชาวบ้านเขา

๏ #การภาวนา
สมัยก่อนการปฏิบัติ มักจะได้ผล มักจะได้อุบาย มีอุบาย มักจะได้เรื่องได้ราว มักจะมีเหตุมีผลมาเล่าสู่กันฟัง วันหนึ่งภาวนาเป็นอย่างไร วันนี้ภาวนาเป็นอย่างไร ได้ผลเป็นอย่างไร จิตใจสงบเป็นอย่างไร พิจารณาแยบคายเป็นอย่างไร พิจารณาร่างกาย เป็นอย่างไร มีเรื่องมาเล่ามาสนทนาสู่กันฟัง พระก็มีเรื่องสนทนามาเล่าให้พระให้อาจารย์ฟัง นี้ สมัยก่อนมันเป็นอย่างนี้

จึงว่ายุคนี้สมัยนี้มันเปลี่ยนไป ความเจริญที่มาเกี่ยวข้องทางตาทางหูนี่ ความเจริญทางโลกที่กิเลสเขาสร้างขึ้นเพื่อที่จะเป็นเครื่องล่อคนโง่ เป็นเครื่องล่อผู้ปฏิบัติธรรม ที่มัวเมาให้ติดให้ข้องอยู่

๏ #ความตื่นตัวในการประกอบความเพียร
จึงว่าให้พากันเข้าใจ พอใจในการอดบ้างหิวบ้าง อย่าพอใจทําตัวเหมือนกับหมู อิ่มเท่าไหร่ยิ่งพอใจ แล้วก็นอน ครูบาอาจารย์ท่านชอบพูดถึงเสมอ อย่าพอใจในการทําตัวเหมือนหมู ให้ทําตัวเหมือนนกกระทาอยู่ในตุ้ม คืออยู่ในกรงนี่ หมูมันกินแล้ว มันนอน พอตื่นขึ้นมามันก็หากิน

นกกระทาไม่เป็นอย่างนั้น ถึงกรงมันจะดีและอาหารน้ำสะดวกสบาย แต่นกกระทา หาช่องที่จะออกจากกรงนั้นเสมอ เรียกว่ากระโดดไปเต้นมา กระโดดไปเต้นมาอยู่ในตุ้ม อยู่ในกรงนั้นเพื่อหาช่องออกนี่ ตามธรรมดาตุ้มหรือกรงนั้น มันจะต้องมีช่องเล็ก ช่องน้อย มันพยายามที่จะเอาจะงอยปากนั้นออกอยู่เสมอ ให้ทําตัวเหมือนนกกระทา อย่าทําตัวเหมือนหมู พอใจนอนอยู่ในคอก พอใจนอนอยู่ในห้องขัง อันนี้ท่านเทศน์ให้ฟังอยู่เสมอ ก็เรียกว่าเป็นธรรมเทศนาธรรมดา แต่ถ้าหากเรามาพิจารณาแล้วนี่ เราก็ต้องแก้เราอย่าให้เป็นหมู ผลของการที่เราแก้เราได้นี่ มีประโยชน์ในการปฏิบัติของเราอย่างมากมายที่เดียว

๏ #เครื่องใช้ไม้สอย
พูดถึงเครื่องใช้ไม้สอย เครื่องใช้ไม้สอยแต่ก่อน บางทีแก้วทั้งวัดนับกันจริงๆ จะมีไม่ถึงลูกนี่ ส่วนมากบางทีก็ใช้กะลามะพร้าวกัน บางองค์ท่านก็ทําเป็นหูเจาะรู เอาไม้ทําเป็นหูหิว เรียกว่ามีหูข้างๆ อะไรอย่างนั้น บางทีก็ใช้บั้งไม้ไผ่อะไรเหล่านี้

กระโถนส่วนมากเป็นกระโถนดินหรือว่าบั้งไม้ไผ่มาทําเป็นกระโถนกัน กระโถนเคลือบอย่างนี้มีแต่ของท่านอาจารย์จริงๆ ข้างบนโบสถ์นี่ ท่านใช้กระโถนอะลูมิเนียมเก่าๆ เป็นประจํา ข้างล่างที่ศาลานั้น ก็มีกระโถนเคลือบอันหนึ่งสําหรับท่านอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาส่วนมากก็กระโถนดิน ดินก็ไม่ใช่ดินเผาอย่างที่ว่าสะอาดสะอ้านหรือว่าแข็งแกร่งเหมือนกับเดี๋ยวนี้ นอกจากนี้ก็ใช้กระบั้งไม้ไผ่บ้าง กระบอกไม้ไผ่ ไม้ไผ่สีสุก ไม้ไผ่บ้านนี่ล่ะมาตัดเข้า ใช้กันอยู่อย่างนั้น

๏ #สบง_จีวร
เครื่องนุ่งเครื่องห่มนี่ สมัยนั้นผ้าผ่อนท่อนสไบหายากมาก บางทีต้องเอาผ้าพื้นบ้าน เอามาตัดเป็นผ้าสบงผ้าจีวรกัน ผ้าพื้นบ้านก็ชาวบ้านนี่ล่ะปลูกฝ้ายทําไร่กัน เอามาเข็น เอามาปั่นเป็นเส้นแล้วก็ทอเป็นผ้า ถ้าหากว่าฤดูหนาวนี่อุ่นดีมาก ฤดูร้อนนี่หนักสักหน่อย มันหนาเส้นมันใหญ่ถึงว่าระยะหลังๆ นี้ก็ยังนิยมเอามาทําผ้าอาบน้ำกัน เอามาเช็ดบาตร เพราะเส้นมันใหญ่ มันซับน้ำซึมน้ำดี

เครื่องนุ่งเครื่องห่มพูดกันถึงเรื่องผ้าจีวร ผ้าสบง ผ้าสังฆาฏิ นี่ ถ้าหากเทียบกับเดี๋ยวนี้ รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้นี่มันสนุกสนานกันมากไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าเขาไม่ว่าเรา อันนี้ก็เรียกว่า มันเป็นไปเอง มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการแสวงหา เกิดขึ้นด้วยศรัทธาญาติโยมเขา ก็เรียกว่าฉลองศรัทธาเขาไป แต่ให้เป็นธรรมเป็นวินัยก็แล้วกัน

๏ #ฉันน้ำร้อน
ตอนบ่ายบางทีก็มีฉันน้ำร้อนกัน โกโก้กาแฟ บางทีเดือนหนึ่งจะมีไม่กี่ครั้งดอก ส่วนมากมันก็เป็นน้ำร้อน เอากิ่งไม้กระบก ต้นกระบกเล็กๆ ปอกเปลือกเอามาปิ้งไฟให้มันเหลือง ชงน้ำร้อน อร่อยมาก เป็นยาด้วย ต้นไม้แดงเอากิ่งใบมาปิ้ง อันนี้ก็ดี แก้เส้นแก้เอ็น เขาว่าอย่างนั้น

เริ่มมาพักที่วัดดอยฯ อยู่เรื่อยๆ มา แต่คําว่าอยู่เรื่อยมานี้ ไม่ใช่ว่าอยู่ตลอดไป ออกพรรษาก็ไปข้างนอก และในบางปีจําพรรษาที่อื่น ออกพรรษาแล้วก็กลับมา ออกไปจําพรรษาทางอื่นอยู่ ๓ ปี เมื่อพรรษาที่ ๑๒ กลับไปจําพรรษาที่จันทบุรี ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่กงมาท่านก็ไปรับมา

พรรษาที่ ๑๓ ไปจําพรรษาที่นครพนม ออกพรรษาท่านก็ไปรับ

พรรษาที่ ๑๔ นี่หลวงปู่กงมา ท่านก็มรณภาพ ครั้นทำการถวายเพลิงศพของหลวงปู่กงมาแล้ว หลังจากนั้น เราก็มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นี้เรื่อยมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เรียกว่าอยู่กับหมู่คณะ อยู่กันไปเหมือนกับเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่ที่นี้อาศัยที่เราเป็นคนที่รักข้อปฏิบัติ เป็นคนที่เห็นคุณค่าของข้อปฏิบัติอย่างเท่าชีวิตจิตใจทีเดียว อันนี้จึงมีความสําคัญ อันนี้เป็นหลักที่ทําให้มีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลายมา และก็ได้รับความสะดวกสบายมาตลอด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงตาบ้านตาด (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี)นี่ท่านสงเคราะห์มาตลอด เมื่อท่านอาจารย์กงมาล่วงใหม่ๆ ท่านก็มาเยี่ยมแล้วก็บอกว่า “ท่านอยู่ที่นี้แหละนะ ไม่ต้องไปที่อื่น ผมมาที่นี่ทีไรไม่เคยรู้สึกว่ามีความจืดจางในใจ มันมีความรู้สึกเบิกบานชุ่มชื่นอยู่เสมอ”

เราก็อยู่เรื่อยๆ มา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่คิดจะไปอยู่ที่ไหน เพราะรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังมีความสะดวกสบายภายในจิตในใจอยู่ แล้วศรัทธาญาติโยมที่มาเกี่ยวข้องก็เป็นศรัทธาที่นับถือท่านอาจารย์กงมามาก่อน ก็ให้การดูแลอุปัฏฐากอุปถัมภ์ มาตลอด ตราบจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ หลวงตาท่านยังคงเมตตาเกื้อหนุนให้ความอบอุ่นห่วงใยเสมอมา มิได้ขาด ทําให้เรามีกําลังใจ และระลึกถึงพระคุณท่าน ล้นเกล้าล้นใจ

๏ #เป็นพระที่องค์พระมหากษัตริย์ให้ความเคารพ 
เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ จะเสด็จแปรพระราชฐานมาพักอยู่ที่พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เพื่อออกเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตภาคอีสาน ทั้งสองพระองค์ และพระบรมวงศ์ จะเสด็จขึ้นไปกราบนมัสการหลวงพ่อแบน ธนากโร ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ และเยี่ยมเยียนประชาชนในแถบนั้นทุกครั้ง

๏ #เป็นเสาหลักพระกรรมฐาน 
ท่านเป็นเสาหลักพระกรรมฐานในเขตภาคอีสาน และภาคอื่นๆ ซึ่งพอถึงวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา เป็นต้น คณะลูกศิษย์ทั้งพระและฆราวาสนั้นจะมาจากที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเขตจังหวัดสกลนคร, นครพนม, มุกดาหาร, อุดรธานี, เลย, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ, สุรินทร์ ฯลฯ จะพากันมาลงอุโบสถสามัคคีกันที่วัดดอยธรรมเจดีย์ และรับฟังธรรมโอวาท คติเตือนใจ รวมทั้งข้อธรรมอื่นๆ ในด้านการปฏิบัติจิตตภาวนาจากหลวงพ่อแบน ธนากโร และท่านก็จะให้กำลังจิตกำลังใจ ไม่ให้ท้อถอย ให้ต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย คือกิเลส ให้ยึดมั่นในหลักพระธรรมวินัย รวมทั้งให้พากันตั้งอกตั้งใจรักษาข้อวัตรปฏิบัติ และปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ท่านพาดำเนินมา

๏ #การสงเคราะห์โลก
เรื่องการสงเคราะห์หมู่คณะพระเณร ญาติโยมนี้ ท่านจะทำอยู่เป็นประจำ ซึ่งในช่วงวันสำคัญต่างๆ ทางพระพุทธศาสนานั้น พระภิกษุที่มารวมกันลงอุโบสถนั้น มีประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ รูป ส่วนฆราวาสก็ประมาณ ๙๐๐-๑,๕๐๐ คน ในวันปวารณาเข้าพรรษานั้น องค์หลวงพ่อแบนท่านก็จะแจกวัตถุสิ่งของต่างๆ หลายอย่างให้แก่วัดที่มาร่วมลงอุโบสถสามัคคี เช่น น้ำตาล โกโก้ กาแฟ ร่ม ฯลฯ เพื่อมอบให้แก่ทางวัดได้ใช้สอยร่วมกัน และก็จะแจกถุงยังชีพให้แก่พระภิกษุสามเณร มีสบู่ ยาสีฟัน ยารักษาโรค ยากันยุง น้ำยาซักผ้า เป็นต้น 

สำหรับการสงเคราะห์โลกนั้น ท่านจะพาลูกศิษย์ไปแจกผ้าห่ม เสื้อผ้า ข้าวปลา อาหารแห้ง ยารักษาโรค เครื่องอุปโภค บริโภคต่างๆ ให้แก่ประชาชน ในเขตอำเภอภูพาน อำเภอเต่างอย อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร อำเภอดงหลวง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม และทั่วทั้งภาคอีสาน รวมไปถึงภาคเหนือ และภาคอื่นๆ เป็นต้น 

ส่วนการสงเคราะห์ตามวัดนั้น ท่านจะออกไปตรวจตราและเยี่ยมเยียนตามวัดวาต่างๆ เพื่อให้กำลังจิตกำลังใจในการเจริญจิตตภาวนา พร้อมทั้งนำเครื่องอุปโภค บริโภค มีน้ำตาล น้ำปลา มาม่า ปลากระป๋อง ฯลฯ ไปถวายให้วัดนั้นๆ หากเป็นฤดูกาลหน้าผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน มังคุด ออกผลผลิต ท่านก็จะจำนำไปแจกจ่ายให้ตามวัดครูบาอาจารย์กรรมฐานต่าง ๆ รวมทั้งวัดอื่น ๆ ด้วย 

๏ #สร้างโรงพยาบาล 
หลวงปู่แบน ธนากโร ท่านได้เมตตาสงเคราะห์คนหมู่มาก ทั้งพระและฆราวาส อย่างหาประมาณมิได้ องค์ท่านได้เมตตาสร้างตึกร่มฟ้า ให้แก่โรงพยาบาลจังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ และสร้างตึกร่มฉัตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตึกทั้งสองหลังนี้ เป็นตึกห้องพิเศษ วีไอพี มีอุปกรณ์ทันสมัยครบครันสมบูรณ์แบบ 

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๘ องค์ท่านได้สร้าง ‘โรงพยาบาลพระอาจารย์แบน ธนากโร’ ที่ อ.ภูพาน จ.สกลนคร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวาระที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบ ๖๐ พรรษา 

และปี พ.ศ.๒๕๖๐ หลวงปู่แบน ธนากโร พร้อมด้วยญาติธรรมผู้มีจิตศรัทธา ร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมสมองระดมกันสร้างตึก "ตึกหัวใจเพื่อแผ่นดิน" ณ โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร .เมือง จ.สกลนคร พร้อมอุปกรณ์การแพทย์ทั้งหลายในตึก มูลค่ารวมกันมากกว่า ๘๐๐ ล้านบาท โดยไม่ใช้เงินสนับสนุนจากภาครัฐเลย เป็นตึกศูนย์หัวใจโดยตรงที่มีเครื่องมือทันสมัยรองรับผู้ป่วยทางภาคอีสานตอนบนและทางประเทศสาธาณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 

๏ #สร้างสำนักปฏิบัติธรรม 
หลวงปู่แบน ธนากโร นอกจากองค์ท่านจะเมตตาสงเคราะห์แก่ประชาชนทั่วไปแล้ว ท่านยังได้เมตตาสร้างวัดเพื่อเป็นสำนักปฏิบัติธรรมกรรมฐานเจริญรอยตามพระบูรพาจารย์ มีหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ เป็นอาทิ ให้พระภิกษุสามเณรได้มีที่อยู่ศึกษาข้อวัตร ปฏิบัติธรรม เพื่อรักษาป่าไม้ ต้นน้ำลำธาร รักษาสัตว์ป่า และรักษาธรรมชาติเอาไว้ ซึ่งนับวันจะถูกบุคคลต่างๆ ทำลายลงไป 

วัดที่องค์ท่านได้เมตตาสร้างนั้นมีอยู่หลายแห่งด้วยกัน ดังนี้ 
๑. วัดป่าภูผาผึ้ง ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร 
๒. วัดป่าค้อน้อย บ้านค้อน้อย ต.ค้อใหญ่ อ.กุดบาก จ.สกลนคร
๓. วัดป่าวังเพิ่ม-พระภาวนา ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 
๔. วัดทุ่งกระบิน-พระภาวนา อ.เขาคิฌชกูฏ จ.จันทบุรี 
๕.สวนป่าริมธาร อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร

๏ #มรณภาพ
หลวงปู่แบน ธนากโร ท่านมรณภาพ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๓ เมื่อเวลา ๑๐.๕๕ น. ณ วัดดอยธรรมเจดีย์ สิริอายุ ๙๑ ปี ๖ เดือน ๑๔ วัน ๗๒ พรรษา

งานถวายเพลิงสรีรสังขารหลวงปู่แบน ธนากโร ตามปฏิปทาที่เรียบง่ายของท่าน หลังจากท่านมรณภาพลงเพียง ๓ วันเท่านั้น ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นการจัดงานที่เรียบง่าย เรียบร้อย และเงียบสงบที่สุด คงไว้ซึ่งปฏิปทาที่ท่านพาดำเนินมาโดยตลอด

๏ #ธรรมอันไม่ตาย 
"..ร่างกายอันนี้ เกิดเขาก็ไม่รู้ แก่เขาก็ไม่รู้แต่เขาหากแก่ทุกวัน ตายเขาก็ไม่รู้แต่เขาหากตายทุกวัน เขาหมดไปสิ้นไปก็คือตายทุกวันนั้นเอง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ธาตุเหล่านี้ เป็นธาตุไม่รู้ เราสมมุติเอาธาตุที่ไม่รู้เกิดมาเป็นธาตุที่ไม่รู้นี้ เอามาเป็นคนเป็นสัตว์ ของไม่รู้เรื่องเอามาสมมุติมันจะเป็นหรือ สมมุติยังไงมันก็ไม่รู้เรื่อง สมมุติยังไงมันก็ไม่เป็นอย่างที่สมมุติกัน

ทําไมจึงว่าไม่เป็นอย่างที่สมมุติ สมมุติว่าเป็นคน แต่เขาเป็นของเกิดมาตายทั้งนั้นใช่ไหม เขาตายของเขาโดยธรรมชาติ เกิดแล้วไม่ตายไม่มี สมมุติเอาของที่เกิดมาตายเป็นคน สมมุติแล้วจะให้เป็นอย่างสมมุติมันไม่ได้

จึงว่า ความเกิด ความแก่ ความตาย จึงเป็นธรรมที่เราจะต้องศึกษากันให้ยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงรู้ธรรม ทรงรู้ความเกิด ความแก่ ความตาย ทรงรู้โลกธาตุนี้เป็นของเกิด ของแก่ ของตาย โลกธาตุไม่ใช่ใคร โลกธาตุไม่มีอะไรที่จะเป็นสาระเป็นแก่นสาร เกิดขึ้นแล้วมีแต่สลายตัวทั้งนั้น

แม้องค์พระพุทธเจ้าก็ทรงเกิดมาแล้วสลายตัวหาประมาณมิได้ จึงไม่มีอะไร ที่จะเป็นแก่นเป็นสารเป็นสาระกับการเกิดขึ้นมาแล้วก็ตายสลายลงไป โลกธาตุในเมื่อมันไม่มีอะไรเป็นสาระเป็นแก่นสาร ก็เรียกว่าไม่มีตัวไม่มีตน.." โอวาทธรรมหลวงปู่แบน ธนากโร
-------
ท่องเที่ยวธรรม ขอนอบน้อมพระอริยสงฆ์ด้วยเศียรเกล้า
กราบขอบพระคุณที่มา FB page พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
อนุโมทนาบุญกุศลจากการอ่าน
สวัสดี.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชีวประวัติ ปฏิปาพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น) ถิรจิตฺโต วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี

ประวัติหลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย บ.หนองถ้อย ต.นาครัว อ.แม่ทะ จ.ลำปาง

หางานในกรุงเทพ ตกงาน หรือว่างงาน มา Samco